วันจันทร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

หนังสือ 2 ซามูเอล ครั้งที่ 8 อาทิตย์ที่ 21:11:2010

หลังจากที่ดาวิดทำบาปจนถึงที่สุด..ด้วยฆ่าอุรีอาร์และรับบัทเชบามาเป็นมเหสีแล้ว เด็กๆคิดว่าตอนนี้ดาวิดจะมีความสุขมั๊ย จะกินอร่อย..นอนหลับเปรมปรีดิ์สมกับที่ลงทุนทำบาปไปมากมายรึเปล่า เก็บคำถามนี้ไว้ในใจก่อน..คราวที่แล้วเราจบในข้อที่ทิ้งท้ายว่า”แต่สิ่งที่ดาวิดทำนั้นไม่เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า” ว่าแล้วข้อต่อไปนี้ก็คือ การพิพากษาที่กำลังจะมา..อย่างรวดเร็ว

ดู2ซมอ.12:1-3/4 เมื่อสมควรแก่เวลาแล้ว พระเจ้าทรงใช้นาธันไปหาดาวิด..นาธันเป็นผู้เผยพระวจนะแล้วก็น่าจะสนิทกับดาวิดด้วย พระวจนะที่ตรัสผ่านนาธันเป็นเรื่องเล่า..ที่ฟังดูเรียบๆ....ไม่ใช่เรื่องมหัศจรรย์พันลึกหรือเรื่องที่ใช้ภาษายากๆแต่ ความหมาย”โดนเต็มๆ“ นาธันเล่าว่า..”มีชายสองคนอยู่เมืองเดียวกัน..คนนึงร่ำรวย อีกคนยากจน คนที่รวยมีฝูงแพะแกะและสัตว์ใหญ่มากมาย..ระดับเศรษฐี ส่วนชายยากจน..มีแกะตัวเมียแค่ตัวเดียว..ตัวเดียวเท่านั้น แล้วเขาก็เลี้ยงมันไว้เป็นเพื่อน..ให้มันอยู่ในบ้าน กินอาหารจากจานเดียวกัน คือเลี้ยงเหมือนมันเป็นสมาชิกในครอบครัวเลย (ถ้าใครเคยดูโกโกริโกะ เกมส์กึ๋ย..”ฮามากุจิกับไก่ชื่อชากุเละ”..นั่นคือภาพเดียวกัน) เสร็จแล้วเมื่อมีแขกมาเยี่ยม แทนที่เศรษฐีจะเอาแกะของตัวเองไปเลี้ยงแขก เศรษฐีกลับไปเอาแกะของชายยากจน..ที่มีอยู่เพียงตัวเดียว..มาทำอาหาร ดาวิดฟังแล้วจะว่าไง

ดูต่อ 2ซมอ.12:5-6 พอฟังนาธันเล่าจบปุ๊บ..ดาวิด”ขึ้น”เลย “พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด คนที่ทำอย่างงั้นต้องตาย” ข้อที่6 ดาวิดยังตัดสินว่าเศรษฐีคนนั้นจะต้องชดใช้ให้ชายยากจนอีก4เท่า..ตามธรรมบัญญัติ ดาวิดยังไม่รู้ตัวว่านาธันกำลังพูดถึงอะไร เขาถึงมีสุภาษิตที่บอกว่า..โทษคนอื่นมองเห็นเช่นภูเขา โทษตัวเรามองไม่เห็นแค่เส้นผม ฟังแล้วเข้าใจมะ..คือ ถ้าเป็นความผิดของตัวเองอ่ะเล็ก..มองไม่ค่อยเห็น..จำไม่ค่อยได้..ลืมไปละว่าทำไรไว้ แต่ถ้าเป็นความผิดของคนอื่นอ่ะ..เห็นชัด..จำแม่นอีกต่างหาก

ดู2ซมอ.12:7-8 “ฝ่าพระบาทนั่นแหละ คือ ชายคนนั้น !!! (อึ้งไปเลย..ดาวิด) พอดาวิดหลุดปากพิพากษาเศรษฐีคนนั้นปุ๊บ นาธันสวนทันที..ว่า you นั่นแหละคือเศรษฐีคนนั้นที่สมควรตาย..ดาวิดติดกับตัวเองอย่างจัง นี่คือเหตุผลนึงที่พระเจ้าให้นาธันใช้วิธี”เล่าเรื่อง”ในการที่จะชี้ความผิดบาปให้ดาวิดเห็น นาธันไม่เน้นการประนามหรือกล่าวโทษรุนแรง ทั้งที่ความผิดบาปของดาวิดก็หนักเอาการอยู่ นาธันใช้วิธีนิ่งๆแต่ดาวิดต้องยอมจำนน เพราะการเล่าเรื่องของนาธันทำให้ดาวิดพิพากษาตัวเองเสร็จเรียบร้อย นับเป็นกลยุทธ์ที่ฉลาดมาก

“พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสดังนี้ว่า “เราตั้งเจ้าให้เป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล ช่วยกู้เจ้าออกจากมือของซาอูล และมอบวงศ์วานเจ้านายไว้ในมือของเจ้า (คือให้ดาวิดชนะศัตรูมากมาย) มอบภรรยาเจ้านายไว้ในอกของเจ้า และมอบวงศ์วานอิสราเอลและยูดาห์ให้แก่เจ้า ถ้าเท่านี้ยังน้อยไปเราจะเพิ่มให้อีก” ..แล้วทำไมต้องขโมยเขากิน!!! พ่อเสียใจนะทำอย่างงี้อ่ะ ทรัพย์สินก็มีมากมาย ผู้หญิงสวยๆก็มีเยอะแยะ อำนาจก็มีล้นมือ ถ้ายังไม่พอ..ก็ขออีกได้

ดู 2ซมอ.12:9 “ทำไมเจ้าดูหมิ่นพระวจนะของพระเจ้า”..ทำอย่างงี้เท่ากับไม่เชื่อฟัง แล้วบาปของการไม่เชื่อฟังก็ร้ายแรง อย่างสมัยนี้ถ้า”ไม่เชื่อพระเยซู” วิญญาณก็ตายสถานเดียว แล้วโทษที่ดาวิดพิพากษาตัวเองตอนที่นาธันเล่าเรื่องก็คือ”ตาย”เหมือนกัน แต่ดาวิดจะไม่ถึงตายเพราะอะไร..เดี๋ยวเราจะได้รู้กันต่อไป

“เจ้าฆ่าอุรีอาร์เสียด้วยดาบ เอาภรรยาของเขามาป็นของตน และฆ่าเขาด้วยดาบของคนอัมโมน” ตอนนี้พระเจ้าทรงชี้ความผิดของดาวิดตรงๆ ความหมายของพระองค์ก็คือ ทำไมไม่ใช้สิ่งที่พ่อให้ในทางที่ถูก...ไปแย่งของคนอื่นเขาทำไม..ถือว่าตัวเองเป็นกษัตริย์..มีอำนาจล้นมือใช่มั๊ย อยากได้อะไรก็จะเอาให้ได้..ไม่เคยนึกถึงคนอื่นหรือความถูกต้องเลย (ตอนนี้ดาวิดเหมือนอะไร..ก็เหมือนเด็กที่พ่อแม่รวย..มีทุกอย่างให้มากมายจนมันแทบจะล้นออกทางจมูก แต่ยังชอบไปขโมยของตามห้างสรรพสินค้า แสวงหาความตื่นเต้นเร้าใจ..เพียงแต่คนละแบบเท่านั้นเอง)

ดู2ซมอ.12:11-12 “เราจะให้เหตุร้ายเกิดขึ้นกับเจ้า..” พอแจ้งข้อหาเสร็จ..คำพิพากษาก็ตามมาทันที “เราจะยกภรรยาของเจ้าไปต่อหน้าต่อตา..ผู้นั้นจะนอนร่วมกับภรรยาของเจ้าอย่างเปิดเผย เพราะเจ้าทำการนั้นอย่างลับๆ แต่เราจะทำการนี้ต่อหน้าอิสราเอลทั้งปวง”

ดาวิด”แอบ”พาบัทเชบามานอนด้วย (ดาวิดแอบทำ) แต่พระเจ้าจะให้คนอื่นแย่งภรรยาเขาไปต่อหน้าต่อตา...โดยที่ดาวิดทำไรไม่ได้เลย..แปลว่า เจ็บกว่าที่เค้าทำไว้กับอุรีอาร์ เพราะอุรีอาร์ไม่รู้ไม่เห็นการกระทำของดาวิด..ถึงปกป้องบัทเชบาไม่ได้ก็ยังไม่เจ็บใจเท่าไหร่ แต่ดาวิดจะเห็นคนอื่นเอาเมียตัวเองไปต่อหน้า..แต่ทำอะไรไม่ได้ แล้วจะยิ่งเจ็บหนักหนาสาหัสขึ้นไปอีกถ้าได้รู้ว่า”ใคร” คือคนที่จะแย่งภรรยาของเขาไป แค่นั้นยังไม่พอเพราะ”บาปในที่ลับ ที่สุดแล้วพระเจ้าจะทรงสำแดงผลของมันในที่แจ้ง” พระเจ้าจะทำให้ความเจ็บปวดและอับอายของดาวิด..เกิดขึ้นอย่างเปิดเผยแล้วก็รู้กันไปทั่วอิสราเอล เหมือนที่ดาวิดพิพากษาให้เศรษฐีคนนั้นต้องใช้คืนถึง 4 เท่า..หรือมากกว่า

ดู2ซมอ.12:13 สิ้นสุดคำพิพากษาดาวิดตอบรับทันที “เรากระทำบาปต่อพระเจ้าแล้ว” แต่นาธันก็ตอบกลับทันทีเหมือนกันว่า “พระเจ้าทรงอภัยให้ฝ่าพระบาทแล้ว..เช่นกัน เพราะฉะนั้น ฝ่าพระบาทจะไม่ถึงตาย” บางคนสงสัย ทำไมพระเจ้าทรงอภัยให้เร็วจังเลย พระองค์ทรงชันสูตรใจดาวิดยังไง ก็เห็นดาวิดพูดคำเดียวเอง..แค่ยอมรับว่าทำบาปต่อพระเจ้าจริง พระเจ้าก็อภัยให้ทันที แต่ความจริงก็คือ ดาวิดไม่ได้พูดแต่ปาก เพราะพระเจ้าจะไม่ทรงอภัยให้คนที่ดีแต่พูดอย่างเดียวแต่ไม่กลับใจใหม่จริงๆ ในบทนี้อาจจะไม่ชัดเจนว่าดาวิด..กลับใจจริงรึเปล่าแต่ตามที่บันทึกไว้ในหนังสือสดุดี..น่าจะใช่

ดู สดุดี 32:3-4 สดุดีสองข้อนี้ทำให้เรารู้ว่า..ระหว่างที่ดาวิดกำลังปกปิดความบาปของตัวเองอยู่..เขาไม่มีความสุขเลย ในขณะที่ภายนอกดูไม่เปลี่ยนแปลง ดูไม่ออกว่าดาวิดสำนึกผิดรึยัง..หรือสำนึกมากน้อยแค่ไหน แต่ข้างในดาวิดเจ็บปวดมากเพราะพระเจ้าชี้ชัดความผิดในใจดาวิดตลอดเวลา คริสเตียนแท้จะต้องมีประสบการณ์นี้ ถ้าเราทำผิดโดยไม่รู้ตัว..หรือรู้แต่ทำเป็นไม่สนใจ เราจะอยู่ไม่ติด..มันจะฟ้องผิดในใจเพราะพระเจ้าจะสำแดงชี้ชัดให้เรารู้..ว่าเราทำผิด เราจะรู้สึกแย่ เราจะเจ็บปวด..ทุรนทุรายเหมือนที่ดาวิดบันทึกไว้ในข้อนี้ว่า

”ร่างกายของข้าพระองค์ก็ร่วงโรยไป....พระหัตถ์ของพระองค์หนักอยู่บนข้าพระองค์ทั้งวันทั้งคืน กำลังของข้าพระองค์ก็เหี่ยวแห้วไป” เพราะกินไม่ได้นอนไม่หลับ บาปที่ทำ..มันฟ้องให้รู้สึกผิดและเผาผลาญใจอยู่ตลอดเวลา..จนเราจะทำเฉย..”ไม่ได้”

เพราะฉะนั้น การกลับใจใหม่ของดาวิด..จริงๆแล้วเกิดจากความเจ็บปวดที่พระเจ้าทรงสำแดงกับเขาก่อนแล้ว จากนั้น พระองค์ก็ทรงใช้นาธันเข้ามา เราเลยเห็นว่า..พอนาธันชี้โทษดาวิด ปุ๊บ..เขายอมรับทันที ดาวิดใจละลายพร้อมรับคำพิพากษาและรับการอภัยด้วย ดังนั้น..ไม่ใช่แค่การอภัยเท่านั้นที่เป็นพระคุณที่มาจากพระเจ้า แต่”การฟ้องผิดและการกลับใจใหม่” ของดาวิดและพวกเรา ก็เป็นสิ่งที่พระเจ้าให้เหมือนกัน..

กลับมาที่ 2ซมอ.12:14 พระเจ้าทรงยกโทษให้ดาวิด..และเขาจะไม่ถึงตาย แต่ราชบุตรที่จะประสูตรมาจะต้องเสียชีวิต นี่คือ พระลักษณะของพระเจ้าที่ทรงบอกเราไว้ผ่านทางโมเสส (จำได้มะ) ดู อพยพ 34:6-7 “พระเยโฮวาห์ พระเยโฮวาห์ พระเจ้าผู้ทรงกรุณา ทรงกอปรด้วยพระคุณ ทรงกริ้วช้าและบริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคง และความสัตย์จริง ผู้ทรงสำแดงความรักต่อมนุษย์กระทั่งพันชั่วอายุ ผู้ทรงโปรดยกโทษการล่วงละเมิด การทรยศ และบาปของเขาเสีย แต่จะทรงถือว่าไม่มีโทษก็หามิได้ และให้โทษบิดาตกทอดไปถึงลูกหลานสามชั่วสี่ชั่วอายุคน”

..ทรงโปรดยกโทษ การล่วงละเมิด การทรยศ และบาปของเขาเสีย แต่..จะทรงถือว่าไม่มีโทษก็หามิได้..เพราะฉะนั้น พระเจ้าทรงยกโทษให้..วิญญาณของดาวิดจะได้รอด โดยองค์พระเยซูคริสต์ของเรานี่แหละ แต่ดาวิดและพวกเราด้วยยังต้องกินผลที่ทำ..แห่งโลกใบนี้ เพราะถ้าพระเจ้าปล่อยให้บาปของเราผ่านไปเฉยๆ โดยไม่ลงโทษอะไรเลย พวกที่ชอบฉวยโอกาส..ก็จะเอาเป็นเยี่ยงอย่าง ดังนั้น เมื่อคนของพระเจ้าทำผิด..ไม่ว่าจะเป็นดาวิดหรือพวกเราก็ต้องถูกพิพากษาทุกคน เพราะมันเป็นสิ่งที่สมกับความยุติธรรม..แล้วที่สำคัญ..ก็เพื่อพระนามของพระเจ้าจะได้รับเกียรติ

ดาวิดฆ่าอุรีอาร์ด้วยดาบ..ดังนั้นดาบจะไม่ห่างไปจากราชวงศ์ของดาวิด..ลูกชายที่เกิดจากนางบัทเชบา..จะต้องตายตกตามกัน ดาวิดไปแย่งภรรยาเขามา..อีกหน่อยภรรยาของดาวิดจะถูกแย่งไป แล้วไม่ใช่ในที่ลับอย่างที่ดาวิดทำ แต่..ต่อหน้าต่อตาดาวิดรวมทั้งคนอิสราเอลทั้งหมดด้วย..ที่จะได้เห็นการพิพากษาที่ลงมาเหนือดาวิด

ดู 2ซมอ.12:15-17 หลังจากที่ถูกพิพากษาแล้ว ไม่นานลูกชายของดาวิดที่เกิดกับนางบัทเชบาก็ป่วยหนัก ตอนที่ยังป่วยอยู่เนี่ย..ข้อที่16 บอกว่า “ดาวิดอดอาหาร แล้วก็นอนบนพื้นดินคืนยันรุ่ง..อธิฐานอย่างหนักไม่กินไม่นอน พวกข้าราชการก็เป็นห่วงมายืนเฝ้ากัน ก็ได้แต่มองเพราะดาวิดไม่ยอมกินอะไรทั้งนั้น ไม่ลุกจากพื้นเลย จนข้อที่18 บอกว่า..”พอเจ็ดวันผ่านไปพระกุมารก็ตาย..” แต่ไม่มีใครกล้าบอกดาวิด เพราะตอนลูกยังไม่ตาย ดูแล้วดาวิดยังอาการหนักขนาดนั้น..ถ้ารู้ว่าตายอาการจะหนักขนาดไหน..จะทำร้ายตัวเองมั๊ย..พวกข้าราชการคิดแล้ว..ก็ไม่กล้าบอก

ดู 2ซมอ.12:19-20 โดยที่ไม่ต้องมีใครบอก..พอดาวิดเห็นพวกข้าราชการซุบซิบกัน เขาก็ถามว่า”ลูกชายเขาตายแล้วใช่มั๊ย” พวกข้าราชการเลยต้องบอกความจริงว่า”พระกุมารตายแล้ว” จากนั้นเกิดอะไรขึ้น..ข้อที่20 บอกว่า..พอรู้อย่างงั้นดาวิดลุกขึ้นจากพื้นทันที ไปอาบน้ำแต่งตัว เข้าไปนมัสการพระเจ้าในพระนิเวศน์ เสร็จแล้วก็บอกให้เตรียมอาหารมาแล้วดาวิดก็เสวย...!!! คนอื่นเห็นแล้วงง..ก็เลยถามดาวิดว่า..ทำไมถึงเป็นอย่างงี้ ตอนที่พระกุมารยังมีชีวิตอยู่..ดาวิดอดอาหารอธิฐานคืนยันรุ่ง ใครเรียกยังไงก็ไม่กิน..ไม่ทำอะไรทั้งนั้น แต่พอลูกตายปุ๊บ..กลับลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัว..กินข้าวกินปลา ดาวิดคิดยังไงถึงทำอย่างงี้ (ดูต่อไปว่าดาวิดจะตอบว่าไง)

ดู 2ซมอ.12:22-23 ดาวิดบอกว่า”ตอนที่เด็กยังมีชีวิตอยู่ เขาอดอาหารร้องไห้..คร่ำครวญ..อธิฐาน เพื่อว่าบางทีพระเจ้าอาจจะทรงเมตตา..กลับพระทัยไม่ลงโทษแล้วไว้ชีวิตลูกชายเค้า แต่เมื่อลูกเค้าตายแล้ว จะอดอาหารทำไม..ในเมื่อเห็นชัดเจนแล้วว่าพระเจ้าทรงยืนยันให้เป็นอย่างงั้น แล้วถ้ายังจะอดอาหารอยู่..ก็จะกลายเป็นว่าเรากำลังประท้วงพระเจ้า..ไม่ยอมรับการตัดสินใจของพระองค์ ดาวิดถึงลุกขึ้นดำเนินชีวิตประจำวันตามปกติทันที..เพื่อสำแดงให้เห็นว่าเขายอมรับน้ำพระทัยของพระเจ้า แล้วก็มีความเชื่อมากพอที่จะไม่คร่ำครวญ..จมปลักอยู่กับความต้องการของตัวเอง แต่การทำอย่างงี้..มันไม่ง่าย ทำไมดาวิดถึงทำได้..คำตอบคือ เพราะดาวิดเห็นพระเจ้าใหญ่กว่าทุกอย่าง..”จริงๆ” เขาถึงสามารถตัดใจยอมรับในวิถีของพระองค์ได้เสมอ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น.. (แต่คนที่ตัดใจไม่ได้ ก็ไม่ได้แปลว่า เขาผิดหรือไม่รักพระเจ้า..ไม่ใช่!! มันแค่เป็นความต่างของความเชื่อ..ที่โต กับยังไม่โต..เท่านั้นเอง)

ส่วนการอดอาหารในระหว่างที่ยังมีความหวังอยู่..ก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงความเชื่อฟังและกลับใจใหม่จริงๆ แล้วที่ไม่กลับใจมันเป็นยังไง..

ดู1ซมอ.3:17-18 ข้อนี้บอกว่า..ซามูเอลจึงบอกทุกอย่างแก่เอลี แล้วทุกอย่างที่ซามูเอลบอกก็คือ วาระแห่งการพิพากษาเอลีและบุตรมาถึงแล้ว..เอลีกับลูกทั้งสองคนจะตายในวันเดียวกัน ประเด็นสำคัญที่จะให้เด็กๆดูก็คือ พอเอลีได้ยินคำพิพากษาตัวเองกับลูกแล้ว..เขามีท่าทียังไง ข้อที่18 เอลีบอกว่า..”คือพระเจ้าเอง ขอพระองค์ทรงกระทำตามสิ่งที่พระองค์ทรงเห็นชอบเถิด” แปลว่า ก็พระองค์เป็นพระเจ้าอ่ะ..พระองค์ใหญ่สุดอยู่แล้ว ขอทรงกระทำตามที่พระองค์ทรงเห็นชอบเถิด อะไรจะเกิดก็เกิดแต่เขาจะทำเหมือนเดิม..เพราะชั้นยังอยากอ้วนพีด้วยส่วนที่ดีที่สุดจากของถวาย ก็เลยปล่อยให้ลูกโกงพระเจ้าอยู่อย่างงั้น..แล้วอะไรจะเกิดก็ช่าง เอลีไม่ได้ร้องไห้คร่ำครวญคืนยันรุ่ง ไม่ได้อดอาหารอธิฐาน ไม่..แม้แต่จะพูดกับพระเจ้าซักคำว่า..พระองค์เจ้าข้า ลูกผิดไปแล้ว หรือลูกได้กระทำบาปต่อพระเจ้าแล้ว (คือ พระเจ้าเอง..ขอทรงกระทำตามที่พระองค์ทรงเห็นชอบ..เอลีพูดได้แค่นี้เอง)

แต่ดาวิดไม่เหมือนเอลี เราถึงเชื่อได้ว่า”ดาวิดกลับใจจริงๆ” เพราะในขณะที่เอลียักไหล่ต่อการพิพากษาของพระเจ้า ดาวิดไม่แค่ก้มศรีษะลงหรือคุกเข่าต่อหน้าพระเจ้า แต่ดาวิดนอนราบลงศีรษะจรดพื้นดินโดยไม่ยอมลุกขึ้น แล้วดาวิดก็อดอาหารเพื่อเป็นการบอกพระเจ้าว่า..พระองค์เจ้าข้า”ลูกผิดไปแล้ว ลูกสำนึกแล้ว..ขอทรงเมตตายับยั้งพระอาชญาของพระองค์เถิด แต่จะยับยั้งหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับพระเจ้า แล้วเราก็ต้องยอมรับด้วย..

ดู 2ซมอ.12:24 พอดาวิดทำใจและตั้งสติตัวเองได้แล้ว เขาก็ไปปลอบใจบัทเชบา..จากนั้น เขากับบัทเชบาก็มีลูกใหม่ด้วยกันชื่อ”ซาโลมอน” พระคำภีร์บอกว่า..”พระเจ้าทรงรักซาโลมอน” เลยทรงใช้ให้นาธันมาเผยพระวจนะ..ว่าซาโลมอนเป็นที่โปรดปรานของพระองค์ และเรียกชื่อเขาว่า..”เยดีดิยาห์”

ตอนสุดท้ายของบทที่12 พระคำภีร์จะวกกลับไปที่สนามรบ ดูความคืบหน้าในชัยชนะเหนือคนอัมโมน..ของอิสราเอล ดู2ซมอ.12:26-28

ข้อที่ 26บอกว่า..ตอนนี้โยอาบตีเมืองรับบาห์ได้แล้ว เขาก็เลยส่งผู้สื่อสารไปหาดาวิด..บอกดาวิดให้นำกำลังพลสำรองมาที่รับบาห์...เพราะจะต้องมีการเข้ายึดเมืองอย่างเป็นทางการ..ซึ่งอันนี้เป็นหน้าที่ของกษัตริย์ ข้อที่ 28 โยอาบถึงได้บอกว่า..”เกลือกว่าข้าพระบาทตีได้ จะต้องเรียกชื่อเมืองนั้นตามชื่อของเขา” แล้วดาวิดจะไม่ได้รับเกียรติในการนี้ เพราะฉะนั้น ถึงโยอาบจะเป็นคนตีได้แต่..แต่ตอนที่เข้ายึดครองอย่างเป็นทางการจะต้องเป็นหน้าที่ของกษัตริย์ ข้อที่ 30 บอกว่า พอดาวิดเข้ายึดเมืองแล้ว..เขาก็ริบมงกุฎจากกษัตริย์ แล้วคนอัมโมนก็ตกเป็นทาสทำงานรับใช้คนอิสราเอล

วันนี้หมดเวลาแล้วค่ะ..แต่การถูกพิพากษาของดาวิดจะยังไม่จบลงง่ายๆ ขอให้เราเรียนรู้ไปด้วยกัน ซึมซับความเจ็บปวดไปด้วยกัน เพื่อที่จะไม่หันไปตามทางนั้น..ทางที่ผิดบาปของดาวิด พบกันใหม่สัปดาห์หน้า..ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

วันจันทร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

หนังสือ 2ซามูเอล ครั้งที่7 อาทิตย์ที่ 14:11:2010

เรากำลังอยู่ในช่วงที่ดาวิดกำลังล้มลงในความบาป (อย่างหนักด้วย เพราะการล่วงประเวณี คือเรื่องใหญ่ในสายพระเนตรพระเจ้า) จริงๆแล้วเหตุการณ์มันเริ่มจากอะไร ถ้าเราทบทวนดูซักนิดนึงก็รู้ว่า..มันเกิดขึ้นเพราะแค่..”ดาวิดไม่ยอมออกไปรบ” ส่วนปัจจัยและเหตุที่ทำให้ดาวิดเปลี่ยนไป..เดี๋ยวเราค่อยมาคุยกันทีหลัง ตอนนี้ มาเรียนให้รู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดก่อน ตอนที่แล้วพระคำภีร์บอกว่า..”พอถึงหน้าแล้งที่บรรดาประชาชาติก็จะออกไปทำสงคราม ดาวิดก็สั่งโยอาบให้เกณฑ์ชายอิสราเอลทั้งหมด..ให้ไปจัดการกับพวกอัมโมน” ...แต่ตัวเองไม่ไป ตรงจุดนี้ลองคิดให้ดี บางคนสงสัยว่าเรื่องนี้บัทเชบาผิดมั๊ย บางคนบอกว่า..ก็คงต้องผิดมั่งแหละ แต่ถ้าดูตามที่พระคำภีร์บ่งไว้ “บัทเชบา..ไม่น่าจะผิด” เพราะเธออาบน้ำตอนไหน..ตอนเย็น ไม่ได้ลุกขึ้นมาอาบกลางแจ้งตอนกลางวันแสกๆ แล้วอีกอย่าง..บัทเชบามีสิทธิ์จะคิดว่ามันปลอดภัยจากสายตาผู้ชาย เพราะอะไร..ก็ตอนนี้ออกไปรบกันหมด ใครจะไปรู้ว่า..ครั้งนี้ กษัตริย์ผู้กระทำตามพระทัยพระเจ้าจนถึงที่สุดจะอยู่เฝ้าแท่นบรรทม..แต่ถึงจะเข้าใจไม่เหมือนกันในเรื่องบัทเชบาก็ไม่เป็นไร..เพราะนั่นไม่ใช่ประเด็น ให้เรามาดูต่อว่าดาวิดจะเลิกทำบาปมั๊ย..จะกลับใจใหม่รึยัง หรือยังจะให้ความบาปมันกัดกินต่อไป..
ดูต่อ 2ซมอ.11:10-11 คนที่มากราบทูลดาวิดว่าอุรีอาร์ไม่ได้กลับบ้าน คงเป็นคนที่ดาวิดใช้ให้ตามไปสอดแนมอุรีอาร์ แต่เมื่อผลที่ออกมามันไม่เป็นไปตามแผนที่ดาวิดวางไว้ เขาก็เรียกอุรีอาร์มาอีก แล้วถามว่า ”อุรีอาร์ เจ้าเดินทางมาเหนื่อยๆ ทำไมไม่กลับไปพักผ่อน..กลับไปหาภรรยาที่บ้าน” อุรีอาร์ตอบว่า “ตอนนี้..โยอาบกับเหล่าทหารของอิสราเอลยังทำสงครามอยู่ในสนามรบ แล้วกษัตริย์จะให้เขากลับไปเสพสุขสำราญที่บ้านได้ยังไง” (อายมะ..ดาวิด) ข้อที่11 อุรีอาร์ปฎิญาณว่า “พระองค์ทรงพระชนม์อยู่และวิญญาณจิตของพระองค์มีชีวิตอยู่แน่ฉันใด ข้าพระบาทจะไม่กระทำอย่างงี้เลย” หมายความว่า อุรีอาร์ไม่มีทางจะกินอยู่อย่างสุขสบาย..ในขณะที่เพื่อนทหารยังอยู่ในสนามรบแน่นอน ดาวิดไม่เข้าใจหรือไง..ว่าตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ในที่ๆควรอยู่ แล้วเขาก็ไม่ได้อยากจะเดินทางกลับมาแต่ดาวิดต่างหากที่บังคับเขา ดังนั้น ในฐานะทหาร..อุรีอาร์จะไม่มีวันทำลายจิตสำนึกของตัวเองด้วยการเอาเปรียบเพื่อน ถึงตัวจะไม่ได้อยู่ในสนามรบแต่อุรีอาร์ก็ยืนยันที่จะใช้ชีวิตแบบเดียวกับที่เพื่อนทหารเป็นอยู่ตอนนี้
ดู 2ซมอ.11:12-13 รู้สึกว่าอะไรๆมันชักจะไม่ง่ายอย่างที่คิด ดาวิดคงนึกไม่ถึงว่าจะมีคนที่สัตย์ซื่อในหน้าที่ต่อชาติบ้านเมืองขนาดนี้ จริงๆอุรีอาร์ก็เหมือนดาวิดตอนที่ยังไม่ได้เป็นกษัตริย์..เพราะฉะนั้น จุดนี้ก็น่าคิดเหมือนกัน ทำไมอำนาจและความสุขสบายถึงทำให้ดาวิดเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้....
และเมื่ออุรีอาร์ยังไม่ยอมติดกับ..ไม่ยอมกลับไปนอนกับบัทเชบา ดาวิดเลยต้องปรับเปลี่ยนแผนการนิดหน่อย หลังจากที่บิ๊วท์อุรีอาร์ไม่ขึ้น ดาวิดเลยปล่อยให้อุรีอาร์ค้างอยู่ที่เยรูซาเล็ม พอวันต่อมา..ดาวิดก็เชิญอุรีอาร์มาดื่มกินกับเค้า กษัตริย์ออกปากทั้งที..ใครจะกล้าปฏิเสธ
ข้อที่13 บอกว่า..”และพระองค์ทรงกระทำให้เขามึนเมา” ในเมื่อพูดดีๆก็แล้ว ทอดสะพานก็แล้ว อุรีอาร์ก็ไม่หลงกลซะที ดาวิดเลยคิดอุบายใหม่..มอมเหล้าเค้าซะเลย กะว่าเมาแล้วจะได้ยอมกลับไปหาภรรยา เพราะคนส่วนใหญ่ชอบคิดว่า..เวลาเมาคนเรามักจะทำในสิ่งที่..ตอนมีสติจะไม่ทำเด็ดขาด แต่อุรีอาร์ไม่ใช่คนเฟก..จะเมาหรือไม่เมาเค้ายังทำเหมือนเดิม แสดงว่าความสัตย์ซื่อของเค้าคงลึกลงจนถึงระดับจิตใต้สำนึก..จิตวิญญาณของอุรีอาร์สัตย์ซื่อจริง เพราะข้อนี้บอกว่า..ถึงจะเมามากแค่ไหน อุรีอาร์ไม่กลับบ้านอยู่ดี..พระคำภีร์บอกว่าคืนนั้น เขาก็ออกไปนอนกับพวกข้าราชการที่ประตูเมืองเหมือนเดิม
ดู 2ซมอ.11:14-16 มาถึงข้อนี้ ทุกคนคงคิดเหมือนกัน..ไม่น่าเชื่อว่าดาวิดจะเป็นไปได้ขนาดนี้ พอแผนการที่จะให้อุรีอาร์เป็นพ่อของเด็กในท้องบัทเชบาไม่สำเร็จอย่างที่ตั้งใจ ดาวิดก็คิดจะฆ่าอุรีอาร์ทิ้ง ข้อนี้บอกว่า..ดาวิดส่งแผนการฆ่าอุรีอาร์ไปถึงโยอาบ ใจความว่า..”โยอาบต้องส่งอุรีอาร์เป็นกองหน้าไปรบตรงที่ดุเดือดที่สุด” ..คือตรงไหนที่คิดว่าไปแล้วตายแน่..ก็ให้ส่งไปตรงนั้น เสร็จแล้วก็แอบสั่งให้คนอื่นถอยกลับมา..ทิ้งอุรีอาร์ไว้เป็นเป้าให้ศัตรูฆ่า..” เราไม่รู้ว่าดาวิดคิดยังไง เพราะถึงอุรีอาร์จะตายคนทั้งเมืองก็รู้อยู่ดีว่าเด็กในท้องบัทเชบาเป็นลูกดาวิด (ก็เรายังรู้เลย คนสมัยนั้นจะไม่รู้ได้ไง)
แต่ตอนนี้ ดาวิดคงมืดบอดจริงๆ เลยยังคิดจะสานต่อความบาปให้มันลุกลามใหญ่โต จดหมายที่เขียนถึงโยอาบ จริงๆแล้วก็คือหมายประหาร เพียงแต่ดาวิดสั่งให้โยอาบทำอย่างแยบยล เพราะการตายในสนามรบมันเป็นเรื่องปกติของทหาร..แต่ไม่น่าเชื่อว่าแผนที่ชั่วร้ายขนาดนี้จะออกมาจากปากและสมองของดาวิด ข้อที่16 บอกว่า “..โยอาบจึงกำหนดให้อุรีอาร์ไปรบตรงที่ที่มีทหารเข้มแข็งมาก” แปลว่า ตอบสนองคำสั่งกษัตริย์ทันที ด้วยการส่งอุรีอาร์ไปตายตรงจุดอันตราย
ดู2ซมอ.11:17 ข้อนี้บอกว่า “..มีคนตายบ้างคือข้าราชการของดาวิด” ก็อยู่ดีๆต้องบุกเข้าไปรบในฐานของพวกอัมโมน..เท่ากับไปเป็นเป้าให้เค้าโจมตี ทหารอิสราเอลบางส่วนเลยต้องถูกฆ่า และแน่นอนในจำนวนที่ตายนี้..มีอุรีอาร์รวมอยู่ด้วย..สมใจดาวิดซะที น้าตุ๊กคงต้องพูดตรงๆว่าทหารอิสราเอลที่ตายทั้งหมดนี้ “ถูกฆาตกรรม” ทุกคนตกเป็นเหยื่อของสงครามเพียงเพราะแค่ดาวิดต้องการจะปกปิดความบาปของตัวเอง โยอาบเองก็ถูกดึงเข้ามาเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดด้วยในการทำให้โลหิตผู้บริสุทธิ์ตก ดาวิดไม่แค่ปล่อยให้ความบาปของตัวเองหนักหนาสาหัสขึ้น แต่เค้าขยายวงกว้างไปให้คนอื่นต้องทำบาปด้วย
ดู2ซมอ.11:18-21 เมื่อภาระกิจสำเร็จแล้ว โยอาบก็ส่งผู้สื่อสารไปหาดาวิด แต่การไปบอกข่าวก็ต้องทำอย่างระวัง..ไม่ให้ใครรู้ได้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสนามรบครั้งนี้ “เป็นแผนชั่วของดาวิด โดยมีโยอาบเป็นผู้สมคบ” ในข้อนี้ โยอาบกำชับผู้สื่อสารอย่างละเอียด..ชัดเจน..ว่าไปถึงแล้วให้รายงานการโจมตีเมืองรับบาห์และเหตุการณ์ในสนามรบให้ดาวิดรู้ก่อน จากนั้น รอให้กษัตริย์แกล้งแสดงอารมณ์และท่าทีผิดหวังตอบโต้มาซะก่อน ..แล้วค่อยรายงานต่อว่า..อุรีอาร์ คนฮิตไทต์ก็ตายด้วย” เพราะไร ถ้าไปถึงแล้วรีบบอกก่อนเลยว่า..พระองค์เจ้าข้าอุรีอาร์ตายแล้ว..มันก็จะน่าเกลียด” เดี๋ยวคนอื่นจะสงสัยว่า เฮ้ย..ทำไมการตายของอุรีอาร์ถึงสำคัญกว่าเหตุการณ์บ้านเมือง เพราะฉะนั้น โยอาบเลยต้องใส่ใจรายละเอียดของการสื่อสารมากเป็นพิเศษ เพื่อแผนชั่วของกษัตริย์จะได้เป็นความลับมากที่สุด
ดู2ซมอ.11:22-24 พอโยอาบ”ย้ำ”ขั้นตอนการรายงานกับผู้สื่อสารเรียบร้อยแล้ว ผู้สื่อสารก็ไปหาดาวิด พอเจอกษัตริย์ดาวิดเค้าก็เริ่มรายงานทันทีว่า..”ข้าศึกได้เปรียบเรามาก”...มันจะไม่ได้เปรียบได้ไง ก็เล่นลุยไปรบตรงฐานที่มั่นของศัตรูแทนที่จะโจมตีจุดอ่อน (แผนนี้มันคือการฆ่าตัวตายเห็นๆ แถมเอาเครดิตร์ของอิสราเอลมาเป็นเดิมพันอีกต่างหาก) ข้อที่24 ผู้สื่อสารรายงานต่อไปว่า “พลธนูของพวกอัมโมนได้ซุ่มยิงทหารอิสราเอลจากกำแพงเมือง ทำให้ทหารบางคนตาย แล้วอุรีอาร์..ทหารกล้าของพระองค์ก็ตายด้วย” นี่ผู้สื่อสารทำตามที่โยอาบสั่งรึเปล่า เปล่า..มาถึงก็พูดม้วนเดียวจบเลย ไม่เปิดโอกาสให้กษัตริย์ได้เล่นละครมั่งงเลย เพราะถ้าตามที่โยอาบสั่ง..เค้าต้องเว้นช่องให้ดาวิดทำเป็นโมโหซะก่อน..ที่ได้ยินข่าวร้าย เพราะจริงๆแล้ว..นี่คือรายงาน”ภารกิจล้มเหลว”(จริงๆแล้วงานนี้โยอาบเองก็มีแต่เสียกับเสีย) แล้วกษัตริย์..โดยเฉพาะอย่างยิ่งกษัตริย์อย่างดาวิดจะต้องเสียใจมากเพราะสูญเสียทหารกล้าอันเป็นที่รักไปหลายคน แต่ตอนนี้ ดาวิดไม่เหมือนเดิมแล้ว....
ดูต่อไป 2ซมอ.11:25 พอฟังรายงานจากผู้สื่อสารแล้ว ดาวิดไม่โกรธ..ไม่เสียใจแม้แต่นิดเดียว แต่จริงๆ เก็บอาการได้ขนาดนี้..ก็ถือว่าดีมากแล้ว ใจจริงดาวิดคงอยากจะกระโดดจนตัวลอยด้วยซ้ำ เพราะกำจัดอุรีอาร์ไปได้ซะที ต่อไปนี้เค้าจะได้ทำให้บาปของตัวเองเป็นเรื่องถูกกฎหมายซะที นอกจากจะไม่รู้สึกผิดหวังแล้ว ดาวิดยังสวมรอยเป็นกษัตริย์ใจกว้างด้วย เพราะข้อนี้ เค้าสั่งผู้สื่อสารให้ไปบอกโยอาบว่า “อย่าให้เรื่องนี้ทำให้ท่านลำบากใจ เพราะดาบย่อมสังหารไม่เลือกว่าคนนั้นหรือคนนี้” คือ ดาวิดพูดประมาณว่า..”อย่าคิดมากๆ สงครามก็เงี้ย มีได้..ก็ต้องมีเสียเป็นธรรมดา แล้วคมดาบในสนามรบก็ไม่เข้าใครออกใคร..เราเลือกไม่ได้หรอกว่าจะให้ใครตายรึให้ใครอยู่ โยอาบ..ไม่ต้องรู้สึกผิดเลยนะ..เพราะนี่มันเรื่องสุดวิสัย (สุดยอดเลย ดาวิด)
ดู2ซมอ.11:26-27 ส่วนบัทเชบาพอรู้ข่าวว่าสามีตาย..ก็เสียใจมาก ข้อนี้บอกว่า พอเสร็จจากการไว้ทุกข์ให้สามี ดาวิดก็รับบัทเชบามาอยู่ที่วังและแต่งตั้งให้เป็นมเหสี นี่คือ สิ่งที่ดาวิดคิดหวังไว้ จนทำให้เค้าต้องวางแผนฆ่าอุรีอาร์ เพราะแผนการที่จะให้อุรีอาร์เป็นพ่อของเด็กในท้องบัทเชบา..มันไม่สำเร็จ มาตอนนี้ดาวิดสามารถทำบาปของตัวเองให้ดูคล้ายๆเป็นเรื่องที่ถูกกฎหมายได้ เพราะเค้าก็แค่ไปรับหญิงม่ายสามีตายมาเป็นภรรยา แต่เรื่องจะไม่จบแค่นี้..พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ฉันใดทุกคนก็ต้องกินผลที่ทำ และในข้อที่27 นี้ก็บอกทิ้งท้ายไว้ว่า.. ”แต่สิ่งซึ่งดาวิดทรงกระทำนั้นไม่เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า”
เพราะฉะนั้น ต่อไปเราจะได้เห็นกันว่าการพิพากษาที่ลงมาเหนือดาวิดนั้น..หนักหนาสาแก่ใจแค่ไหน แล้วสาเหตุคืออะไร..ทำไมดาวิดถึงเปลี่ยนไป คำตอบก็คือ “อำนาจและภาวะที่สุขสบาย” บวกกับ “การละเลยในหน้าที่” ของดาวิด คือตัวจุดชนวนให้ทุกอย่างเกิดขึ้น
ดู ฉธบ.17:18-20 หนังสือที่ว่านี้คือ กฎบัญญัติของพระเจ้าที่ประทานไว้ทางโมเสส ข้อนี้พระเจ้าทรงสั่งให้กษัตริย์ของอิสราเอลคัดลอกพระบัญญัติของพระองค์เก็บไว้ใกล้ๆตัว แล้วก็อ่านทบทวนอยู่เสมอ”ตลอดชีวิต”..แต่ดูเหมือนดาวิดคงไม่ทำ เพราะในบทนี้ไม่มีตอนไหนเลยที่บอกว่าดาวิดเอาพระบัญญัติของพระเจ้ามาทบทวนหรือแต่งบทเพลงสดุดีถวายพระเจ้า สาเหตุนึงคงเป็นเพราะดาวิดผ่านคืนวันที่ทุกข์ยากแสนสาหัสมาเยอะ (อันนี้ไม่ได้เข้าข้าง แต่พูดแบบแฟร์ๆ) เพราะความอ่อนล้าของร่างกายและจิตใจ..มันสามารถทำให้คนอ่อนแอ พอมาถึงจุดที่ได้รับความสำเร็จ..ได้อยู่สุขสบายชี้นกเป็นนก..ชี้ไม้เป็นไม้ ดาวิดก็ติดสบาย..ไม่อยากออกไปเหนื่อย ดาวิดถึงได้ละเลยในหน้าที่ที่ควรทำ เค้าไม่ทบทวนหรืออาจจะแค่”พัก” ผลัดไปก่อนในการที่จะใส่ใจในพระบัญญัติตามที่พระเจ้าสั่งไว้ เค้าไม่ออกไปนำการรบซึ่งจริงๆ เป็นหน้าที่โดยตรงของกษัตริย์..และดาวิดเองก็เคยทำได้ดี แต่มาถึงตอนนี้ ดาวิดติดการเสวยสุข..ตื่นนอนตอนเย็น ในขณะที่ทหารของเค้ากำลังคร่ำเคร่งอยู่ในสงคราม และผลจากการละเลยหน้าที่ในวันนั้น..ก็ลากยาวมาจนทำให้เค้าต้องฆ่าอุรีอาร์ !!! พอจะมองออกรึยังว่าการละเลย..เรื่องเล็กๆน้อยๆ ออกห่างพระเจ้านิดๆหน่อยๆ..มันทำให้เราวิบัติได้แค่ไหน
แล้วบ่อยครั้งแค่ไหนที่เราคิดว่า..ไม่ว่างก็ไม่ต้องมาโบสถ์ อาทิตย์ไหนขี้เกียจก็ไม่ต้องมา อยากมาก็มา..ไม่อยากมาก็ไม่ต้องมา น้าตุ๊กไม่ได้หมายความว่าเราขาดโบสถ์ไม่ได้..ขาดได้ ลาได้แต่ท่าทีในใจนั้นต่างหาก..ที่สำคัญ เราเหนื่อยจริงๆ เรามีธุระจริงๆ บังเอิญเราจองวันพักผ่อนได้ตรงกับวันอาทิตย์จริงๆ หรือเราเห็นนิเวศน์ของพระเจ้าเป็นของตาย..นี่ต่างหากที่สำคัญ
แล้วความลั้นลาของดาวิดที่ไม่ยอมทบทวบพระบัญญัติ มันก็ไม่ต่างอะไรกับพวกที่คิดว่า..แค่มาโบสถ์ก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องอ่านพระคำภีร์ เค้าเทศน์ก็ฟังมั่ง..ไม่ฟังมั่ง หรือฟังไปงั้นๆไม่ได้สนใจอะไรมากมาย เห็นคนที่หิวกระหายก็ไม่เข้าใจว่าจะกระหายอะไรกันนักหนา..แค่เชื่อก็น่าจะพอแล้ว ด้วยความเคารพอย่างสูง..พอจริงๆค่ะ..แต่คุณจะเจ็บและคุณจะเหนื่อย จะหนักกว่าหรือน้อยกว่าดาวิดก็แล้วแต่กรณี (ถ้าคุณเป็นของพระเจ้า..จริงๆ)
ดูฉธบ.8:12-14 แล้วตอนนี้ดาวิดก็กำลังอยู่ในภาวะที่ได้รับประทานอิ่มหนำ..ได้สร้างบ้านเรือนดีๆ (ระดับพระราชวัง)....มีทรัพย์สินเงินทองและอำนาจล้นมือ (ไม่ใช่แค่ CEO ของบริษัทยักษ์ใหญ่ แต่ได้เป็นถึงกษัตริย์) เพราะฉะนั้น ภาพของดาวิดตอนนี้เป็นสิ่งยืนยันความจริงในถ้อยคำของพระเจ้าว่า..ยิ่งมั่งคั่งก็ยิ่งอันตราย แล้วถ้าทั้งรวย..ทั้งมีอำนาจมากก็ยิ่งอันตรายและเสี่ยงต่อการที่จะล้มลงในความบาปมากขึ้นไปอีก..เหมือนดาวิด น้าตุ๊กยังขอยืนยันอีกครั้งนึงว่า..เราบางคนยากจนก็ดีแล้ว ถึงไม่อยากฟังก็จำเป็นต้องพูดเพราะมันคือความจริง เด็กๆมีบ้านที่อบอุ่นและปลอดภัย..ก็เพียงพอแล้ว ไม่ต้องหลังใหญ่ ถึงจะเป็นแค่ห้องเช่าเล็กๆ ก็จงขอบพระคุณ ไม่ต้องมีรถยนต์ส่วนตัว ต้องนั่งรถเมล์บ้าง..ไรบ้าง ก็จงก้มศีรษะลงขอบพระคุณ เพราะพระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่า..ถ้าเรามีมากกว่านี้ แล้วจะเกิดอะไรขึ้น แต่น้าตุ๊กไม่ได้หมายความว่าเราต้องเป็นพวกต่อต้านความสุขสบาย ต้องการแต่ความทุกข์ยาก..ไม่ใช่ แค่เราต้องมีสติ..ทุกครั้งที่ประสบความสำเร็จ หรือเวลาที่รู้สึกว่า..อะไรๆมันได้อย่างใจไปหมด ก็ให้เราตระหนักไว้เสมอว่า “จุดนั้น อันตรายเป็นพิเศษ” การทดลองที่ยากเย็นอาจเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้..และเราต้องรู้ทัน ถ้าเราระวังจิตใจของเราให้ดี แล้วพระเจ้าจะทรงเติมเราให้เต็มล้นอย่างบริบูรณ์แน่นอน น้าตุ๊กคอนเฟริม..แต่ในแบบชีวิตของเรา อย่าไปเปรียบเทียบกับแบบของคนอื่น แล้วทำไมพระคำภีร์ถึงยกดาวิดขึ้นมา..ก็ต้องเอาคนที่คิดว่า..”ไม่น่าจะพลาด” มาเป็นตัวอย่าง..จะได้เห็นกันใสๆชัดเจนว่าความบาปมันประมาทไม่ได้จริงๆ
ดู 1โครินธ์ 10:11-12 “..คนที่คิดว่าตัวเองมั่นคงดีแล้ว ก็จงระวังให้ดี กลัวว่าจะล้มลง” อย่างดาวิดที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ชอบธรรมและกระทำตามพระทัยพระเจ้าจนถึงที่สุด..ยังล้มลงในความบาป..แล้วเราคิดว่าตัวเองชอบธรรมแค่ไหน ชั้นมาโบสถ์ทุกอาทิตย์..ชั้นเรียนพระคำภีร์จนได้ใบประกาศ..ชั้นช่วยงานพันธกิจ..ชั้นเป็นครูรวีสอนพระคำภีร์(เหมือนน้าตุ๊ก..เป็นต้น) หรือแม้แต่ชั้นเป็นศิษยาภิบาล ทุกคนสามารถล้มลงได้มั๊ย..ได้แน่นอน แต่พระคำภีร์ข้อนี้เน้นหนักไปที่..”คนที่มั่นใจว่าตัวเองดีพอแล้ว”...ยิ่งต้องระวัง เพราะฉะนั้น เด็กๆอย่าอายที่จะยอมรับข้อเสียของตัวเอง อย่าอายที่จะยอมรับว่าเราบกพร่อง อย่าอายที่เราจะยอมรับว่าเรายังไม่ดีพร้อม..เรานิสัยไม่ดี 1..2..3..4.. เพราะอย่างน้อยที่สุดนั่นคือสัญญาณของความปลอดภัย”ถ้า” ยอมรับแล้วเราคุกเข่าลง..ขอพระเจ้ายกโทษ เปลี่ยนแปลง แก้ไข เสริมกำลังให้เราสามารถเอาชนะเนื้อหนังได้ในที่สุด..แม้ว่าจะต้องรอทั้งชีวิตก็ตาม
.....น้าตุ๊กเคยได้ยินคนชอบพูดประมาณว่า ”ไม่อยากจะเชื่อเลย..ว่าคนที่เป็นคริสเตียนเค้าจะทำ.....เรื่องอย่างงี้ได้” แต่สำหรับพวกเราที่ได้เรียนรู้จากดาวิดแล้ว..คงไม่คิดจะพูดคำนี้กัน เพราะเห็นชัดเจนว่า..ไม่มีบาปไหนที่คริสเตียนทำไม่ได้หรอก คริสเตียนก็ทำบาปได้มาก..แล้วก็เร็วพอๆกับคนที่ไม่ใช่คริสเตียนน่ะแหละ แต่สิ่งที่คริสเตียนต่างจากคนอื่นก็คือ..ถึงจะบาปแค่ไหนมันไม่ใช่ปัญหาสำหรับพระเจ้า และเมื่อไม่ใช่ปัญหาสำหรับพระเจ้า มันก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเรา..ผู้ที่เชื่อในพระองค์ด้วย
ดู เอเฟซัส2:8-10 “เพราะที่เรารอดก็รอดโดยพระคุณและความเชื่อ ไม่ใช่เพราะเราทำเอง..ไม่ใช่เพราะการกระทำใดๆเลย แต่พระเจ้าประทานให้” เพราะฉะนั้น เราเลยทำบาปได้ตามสบายเลยรึเปล่า..ไม่ใช่ เราห้ามอ้างเด็ดขาดว่า..ดาวิดยังป็นขนาดนี้..แล้วเราจะเหลือมั๊ย เหลือสิ..พระคำภีร์อุตรส่าห์บันทึกรูปแบบ กระบวนการการก่อร่างสร้างตัวของความบาปไว้ให้เราเห็นชัดเจน เพราะฉะนั้น เราต้องไม่หลงผิดในแบบเดียวกัน “เพราะเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์..ที่ทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์..เพื่อให้ประกอบการดี” (ให้เด็กๆพูดพร้อมกัน)
เน้น..”ให้ประกอบการดี ให้ประกอบการดี”
แต่ถ้าบังเอิญเผลอไปประกอบการร้ายมา..ก็จงรีบกลับใจใหม่ สารภาพความบาป..ยอมรับมันซะ..ขอพระเจ้ายกโทษ ลองคิดดูว่ามันจะดีแค่ไหน..ถ้าดาวิดยอมรับผิด สารภาพบาปที่ตัวเองทำไว้กับบัทเชบา ก่อนที่จะปล่อยให้มันกัดกินเลยเถิดจนเค้าต้องฆ่าอุรีอาร์..ทุกอย่างคงจะดีกว่านี้ ดีกว่ายังไง..เด็กๆอาจจะยังไม่เข้าใจจนกว่าจะได้เห็นการพิพากษาของพระเจ้า..ที่ลงมาเหนือดาวิด..เพราะมันหนักมากจริงๆ
หมดเวลาแล้วค่ะ พบกันใหม่สัปดาห์หน้า ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

หนังสือ 2 ซามูเอล ครั้งที่ 6 อาทิตย์ที่ 7:11:2010

ดู 2ซมอ.8:1-2 ฟิลิสเตีย หรือ ฟิลิสไตน์ ซึ่งปัจจุบันคือ “ปาเลสไตน์”เป็นประเทศที่สร้างปัญหาให้อิสราเอลมาตลอดตั้งแต่สมัยผู้วินิจฉัย มาจนสมัยของซาอูล..โยนาธานก็ต้องลุกขึ้นปราบพวกฟิลิสเตีย จนทำให้เกิดชนวนการรบครั้งใหญ่ แล้วครั้งนึงดาวิดก็ออกไปปราบโกลิอัท..มีการไล่ล่ากันไปจนถึงประตูเมือง ท้ายบทของหนังสือ1ซมอ.พวกฟิลิสเตียก็ยกมาโจมตีอิสราเอลอีก..ครั้งนี้ฆ่าซาอูลกับลูกตาย และพวกฟิลิสเตียหรือปาเลสไตน์นี้ก็ยังคงมีปัญหากับอิสราเอลมาจนถึงปัจจุบัน !!!
พระคำข้อนี้บอกว่า ตอนนี้ ดาวิดปราบพวกฟิลิสเตียได้แล้ว..ยึดเมืองเมเธกฮัมมาห์ได้ ข้อที่ 2 บอกว่า..ก.ดาวิดรบชนะพวกโมอับ และวัดเขาด้วยเชือก โดยให้นอนเรียงกันบนพื้น..วัดแล้วก็ฆ่าทิ้งซะ 2ส่วน3 ที่เหลือส่วนนึงก็รอดชีวิตไป..” เหมือนเวลาเราแบ่งกลุ่มในชั้นเรียน ก็จะให้ทุกคนยืนเข้าแถว แล้วก็นับ 1..2..3 เพื่อแบ่งนักเรียนเป็นสามกลุ่ม แล้วก็ว่าไป..ว่าจะให้กลุ่มไหนทำอะไร แต่ดาวิดวัดแล้วเอา 2ใน3 ไปฆ่า..อย่าคิดว่ามันเป็นการโหดร้าย เพราะความจริงคือ ดาวิดยังอุตส่าห์ไว้ชีวิตคนโมอับส่วนนึง
ดู2ซมอ.8:3-5 หลังจากที่ดาวิดควบคุมฟิลิสเตีย..ซึ่งอยู่ทางตะวันตก และโมอับ..ที่อยู่ทางตะวันออกของอิสราเอลได้แล้ว ก.ดาวิดก็มุ่งไปที่เมืองโศบาห์..ซึ่งอยู่เลยขึ้นไปทางทิศเหนือ แล้วก็ยึดเมืองนี้ได้ ข้อที่5 บอกว่า..คนซีเรียที่อยู่เมืองดามัสกัสยกไปช่วยก.ฮาดัดเอเซอร์ รบกับอิสราเอล เพราะคงมองว่าดาวิดชักจะเป็นตัวอันตราย แต่สุดท้ายก็แพ้ไปทั้งคู่ ข้อที่6 บอกว่า ดาวิดมีการวางกองกำลังของอิสราเอลไว้ในที่ต่างๆหลายแห่ง จุดนี้ดูจะต่างจากที่ผ่านมา เพราะเมื่อก่อนศัตรูมักจะเป็นฝ่ายมาวางกองกำลังในอิสราเอล หมายความว่า ตอนนี้อิสราเอลจะไม่เป็นฝ่ายถูกกดดันจากรอบด้านอีกต่อไป แล้วความสำเร็จทั้งหมดนี้ก็เป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานให้ดาวิด
ดู2ซมอ.9-10 ข้อนี้บอกว่า ฝ่าย โทอิ ก.เมืองฮามัท พอรู้ข่าวว่าดาวิดรบชนะฮาดัดเอเซอร์ ก็เลือกที่จะศิโรราบกับดาวิดทันที โดยส่งลูกชายคนโตมาถวายเครื่องบรรณาการ เหตุผลนึงที่เค้าเลือกทำอย่างงั้นก็เพราะโทอิกับฮาดัดเอเซอร์เคยทำสงครามกันมาก่อน ข้อที่10 บอกว่า ก.ฮามัทเอาทั้งเครื่องเงิน เครื่องทอง ทองสัมฤทธิ์มากมายมาถวายดาวิด ดาวิดก็รวบรวมไว้ในพระนิเวศน์ของพระเจ้า แล้วต่อไปเราจะเห็นว่า..ของพวกนี้ก็ถูกเอามาใช้ตอนซาโลมอนสร้างวิหารให้พระเจ้า ตามที่บันทึกไว้ใน 1พศว.18:8
ดู 2ซมอ. 8:13-14 ยังมีบันทึกต่อไปว่า..ดาวิดไปกวาดล้างคนซีเรียในหุบเขาเกลืออีก 18000 คน ซึ่งข้อนี้มีหมายเหตุข้างล่างว่าเป็นคนเอโดม เพราะการบันทึกในภาษาฮีบรูมันมีข้อแตกต่างกันอยู่หนึ่งตัวอักษร แล้วท้ายข้อ14นี้ กับใน1พศว.18:12 ก็บ่งว่าเป็นคนเอโดม ซึ่งเอโดมเนี้ยจะอยู่ทางทิศใต้..ของอิสราเอล นั่นก็หมายความว่า..พระคำภีร์กำลังสื่อให้เห็นถึงชัยชนะรอบด้านของดาวิด เพราะกวาดล้างไปทั่วทุกทิศ..ทั้งตะวันตก ตะวันออก ทิศเหนือ แล้วสุดท้ายก็ทิศใต้ และผลสืบเนื่องจากชัยชนะรอบด้าน..ทำให้ดาวิดต้องเพิ่มคณะบริหารบ้านเมืองอีกหลายตำแหน่ง ตามที่ได้บันทึกไว้ในข้อที่ 15-18
บทที่ 9 “สัจกรุณา”ของดาวิดต่อเมฟีโบเชท (ลูกชายที่เป็นง่อยของโยนาธาน)
ดู2ซมอ.9:1-3 “ในพงศ์พันธ์ของซาอูล ยังมีใครเหลืออยู่บ้าง” ดาวิดถาม เพราะเขาต้องการตอบแทนโยนาธาน ด้วยการทำดีต่อวงวานศ์ของซาอูล..ตามที่เคยสัญญาไว้ ในข้อนี้เราจะเห็นว่า..ดาวิดเป็นคนที่สัตย์ซื่อต่อคำสัญญามากๆ เพราะปกติ..คนส่วนใหญ่ ถ้าเคยสัญญาไว้อย่างดาวิด ก็อาจจะรักษาสัญญาเหมือนกัน..ถ้ามันเห็นหน้ากันอยู่..ว่าเอ๊ย..คนนี้ลูกเพื่อนนะ เราต้องช่วยดูแล เพราะสัญญากับเพื่อนเอาไว้ แต่ถ้าเหมือนดาวิดอย่างงี้..คือ อยู่มาตั้งนานก็ยังไม่เจอเชื้อสายของซาอูลเลยซักคน ส่วนใหญ่ก็จะไม่ดิ้นรนไปเสาะแสวงหามาเป็นภาระ แต่ดาวิด..ไม่ใช่ ดาวิดให้คนไปตาม”ศิบา”มาทันที..ที่รู้ว่าเค้าเป็นคนของซาอูล มาถึงก็ถามว่าตอนนี้ยังเหลือใครบ้างมั๊ยที่เป็นลูกหลานของซาอูล ศิบา บอกว่ายังเหลือลูกของโยนาธาน คนนึงที่เป็นง่อย คือ เมฟีโบเชท
ดู 2ซมอ.9:5-7 พอได้ยินปุ๊บว่ายังเหลือคนนึง ดาวิดรีบสั่งให้ไปพาตัวมา พอมาถึงเมฟีโบเชทก็ก้มลงกราบดาวิด ด้วยความกลัวจนตัวสั่น..เพราะไม่รู้ว่าดาวิดเรียกเขามาทำไม จะเรียกมาฆ่าทิ้งเพื่อกำจัดพงศ์พันธ์ของซาอูลให้สิ้นซากรึเปล่า เพราะจริงๆแล้วกษัตริย์ราชวงศ์ใหม่ก็มักจะทำกันอย่างงั้น ที่จะมาโอบอุ้มค้ำจุนเชื้อสายของราชวงศ์เดิมไว้..เหมือนดาวิดเนี่ย..หายาก ดาวิดก็เหมือนจะรู้ว่าเมฟีโบเชทคิดอะไร ข้อที่7 ดาวิดเลยปลอบใจว่า..”อย่ากลัวเลย”
ที่เรียกมาเนี่ย..เขาแค่อยากจะสำแดงความรักแล้วก็อยากจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับโยนาธาน แล้วดาวิดก็บอกเมฟีโบเชทว่า..เขาจะคืนที่ดินที่เป็นของซาอูลทั้งหมดให้เมฟีโบเชท แล้วต่อไปเมฟีโบเชทจะได้ร่วมโต๊ะเสวยกับดาวิดตลอดไป คงเป็นอารมณ์ที่คิดถึงโยนาธานมาก..มีลูกไว้เป็นที่ระลึกก็ยังดี ประมาณนั้น
ดู2ซมอ.9:8-9 “ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทเป็นผู้ใดเล่า ซึ่งฝ่าพระบาทจะทอดพระเนตรสุนัขตายอย่างข้าพระบาทนี้” พอได้ยินดาวิดพูดอย่างงั้น..เมฟีโบเชทคงรู้สึกโล่งใจ แล้วก็ซาบซึ้งในความกรุณาของดาวิด เขาบอกกับดาวิดว่า..เขาเป็นเหมือน”สุนัขตาย”เท่านั้น คำนี้..คงทำให้ดาวิดคุ้นสุดๆ เพราะเป็นคำเดียวกับที่ดาวิดเคยใช้เรียกตัวเอง..ตอนที่คุยกับซาอูล(ใน1ซมอ.24:14) ความหมายของเมฟีโบเชทคือ จริงๆแล้วดาวิดไม่จำเป็นต้องมาสนใจเขาก็ได้ เพราะเห็นชัดเจนว่าเขาพิการ ถึงจะดูไม่มีพิษมีภัยแต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเหมือนกัน “เมฟีโบเชทคงไม่เข้าใจว่าดาวิดมาเสียเวลากับเขาทำไม เหมือนที่บางครั้งเราก็ไม่เข้าใจว่า"พระเจ้าตามหาและเรียกเรามาเพื่ออะไร” ในเมื่อเราไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับพระเจ้าเลย เพราะฉะนั้น สิ่งที่ดาวิดทำในพระธรรมข้อนี้เป็นหมายสำคัญที่สำแดงให้เห็นถึงรูปแบบของกษัตริย์ที่พระเจ้าจะประทานให้ คือ พระเยซูคริสต์ แล้วพวกเราก็คือ”เมฟีโบเชท”..ที่เป็นง่อยฝ่ายวิญญาณ..ไร้ค่ามาก แต่พระเจ้าก็ทรงมีความรักมั่นคงและสัตย์ซื่อต่อพระสัญญาที่ให้ไว้กับบรรพบุรุษของเรา คือ อับราฮัม พระองค์เลยตามเรากลับมา เหมือนที่ดาวิดไปตามเมฟีโบเชทมาเพราะเห็นแก่โยนาธานพ่อของเขา
ดู2ซมอ.10:1-2 ข้อนี้เป็นบันทึกการเสียชีวิตของนาหาช ก.คนอัมโมน นาหาชคนเดียวกับที่ซาอูลทำสงครามด้วยเพราะเขาขู่จะควักลูกตาคนอิสราเอล แต่ข้อนี้ บอกไว้ชัดเจนว่า..เขาเป็นทั้งเพื่อนและพันธมิตรกับดาวิด จะไปคบกันตั้งแต่เมื่อไหร่เราไม่รู้ อาจจะ..ในช่วงที่ดาวิดหลบหนีซาอูล รึเปล่า..ไม่แน่ใจ อันนี้แค่สันนิฐาน ในฐานะเพื่อนที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันดาวิดเลยส่งผู้แทนไปแสดงความเสียใจเพื่อให้เกียรตินาหาชในพิธีไว้อาลัย ข้อที่ 2 ดาวิดบอกว่า..”เราจะซื่อตรงต่อฮานูนโอรสของนาหาช ดังที่บิดาของเขาซื่อตรงต่อเรา” คือ ตั้งใจดีจริงๆที่จะสานต่อความสัมพันธ์กับฮานูนลูกของนาหาช
ดู2ซมอ.10:3-4 พอคณะผู้แทนของดาวิดไปถึง ที่ปรึกษาของก.องค์ใหม่คือฮานูน ก็ให้คำปรึกษาที่แย่มาก..หาว่าการกระทำครั้งนี้ของดาวิด..ไม่น่าไว้ใจ ทำเป็นส่งคนมาแสดงความเสียใจ แต่จริงๆแล้ว สงสัยจะมาสอดแนมเพื่อหาช่องโจมตีทีหลัง ฮานูนฟังแล้วก็เชื่อ เลยจับคนของดาวิดมา”โกนเคราออกครึ่งนึง แล้วก็ตัดเสื้อผ้าบางส่วนให้แหว่ง เสร็จแล้วก็ปล่อยตัวกลับไป” จงใจหาเรื่องกันชัดๆ เพราะสำหรับคนฮีบรูหรือยิว..เคราถือเป็นสัญญลักษณ์ของศักดิ์ศรี จับเขาโกนออกหมดก็ถือว่าหยามกันมากแล้ว..นี่อะไร..โกนของเขาครึ่งเดียว แถมยังทำเสื้อผ้าเขาแหว่ง คือ เอาเขาเป็นตัวตลก เสร็จแล้วไล่กลับบ้าน..แบบนี้คิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย นอกจาก อยากจะมีเรื่อง แล้วคณะผู้แทนก็เหมือนทูตสมัยนี้..จริงๆแล้วต้องได้รับการคุ้มครองอย่างดีตามกฎหมายระหว่างประเทศ เพราะฉะนั้น การกระทำของฮานูนเหมือนจะประกาศชัดว่าอยากทำสงครามกับดาวิด เนี่ย..อิทธิพลของที่ปรึกษา
ดู2ซมอ.10:5-6 พอดาวิดรู้ข่าว..ก็ส่งคนไปรับคณะผู้แทนของเขาทันที เป็นห่วงมาก..รู้ว่าต้องอายกันสุดๆ ดาวิดเลยสั่งให้คนของเขาพักอยู่ที่เยรีโคก่อน พอเคราขึ้นจนดูดีแล้วค่อยกลับมาที่เยรูซาเล็ม จริงๆแล้ว..ข้อที่6 เพียงแต่บันทึกว่า “คนอัมโมนทั้งหลายเป็นที่เกลียดชังแก่ดาวิด” ไม่มีตรงไหนบ่งว่าดาวิดสั่งทำสงครามก่อน มีแต่คนอัมโมนที่ร้อนตัวเตรียมตั้งทัพจะไปรบกับอิสราเอล แถมยังมีการไปตระเวนจ้างทหารซีเรียจากอีกหลายแห่งมาช่วย เตรียมจะรบกับอิสราเอล
ดู2ซมอ.10:9-11 ในเมื่อพวกอัมโมนแสดงออกว่าอยากจะมีเรื่อง..ดาวิดก็จัดให้ อิสราเอลเลยยกไปทำสงครามกับคนอัมโมนและทหารรับจ้างชาวซีเรีย ทางฝ่ายอัมโมนกับพันธมิตรแบ่งกองกำลังเป็นสองส่วน หวังจะโจมตีอิสราเอลทั้งหน้าหลัง แต่โยอาบก็ทันเกมส์เขาเลยแบ่งกองทัพเป็นสองกลุ่มเหมือนกัน กลุ่มแรกจะไปจัดการกับพวกซีเรีย..โดยมีโยอาบเป็นคนนำการรบ อีกกลุ่มนึงจะไปรบกับพวกอัมโมนโดยการนำของอาบีชัย..น้องของโยอาบ ทั้งสองกองตกลงกันว่า..ถ้าใครเสียท่าอีกฝ่ายนึงจะไปช่วยทันที แล้วโยอาบก็สำแดงความเชื่อในพระเจ้าโดยการหนุนใจทุกคน เพราะข้อที่ 12 เขาพูดว่า..”จงมีความกล้าหาญเถิด ให้เราเป็นลูกผู้ชายเพื่อชนชาติของเรา และขอพระเจ้าทรงกระทำตามน้ำพระทัย”
ดู2ซมอ.10:13-14/15-16 ปรากฎว่า..ทหารซีเรียสู้ไม่ได้เลย หนีกระจายไปต่อหน้าต่อตาโยอาบ ส่วนคนอัมโมนพอเห็นซีเรียแพ้..ก็เสียขวัญ รีบหนีจากอาบีชัยเข้าไปปกป้องเมืองหลวงไว้ ทหารอิสราเอลเห็นอย่างงั้นก็พากันกลับมาที่เยรูซาเล็ม เพราะดาวิดคงตั้งใจว่าจะหยุดอยู่แค่นั้น แต่เป็นฝ่ายซีเรียที่ไม่ยอมเลิกลา..แพ้ไม่รู้จักแพ้ ยังสงสัยอยู่..เลยรวมตัวกันอีกครั้งนึง คราวนี้ไปตามพวกที่อยู่ฝั่งตะวันออกของน.จอร์แดนมาด้วย..กะว่าจะเอาชนะอิสราเอลให้ได้ ส่วนดาวิดพอรู้ข่าวการรวมตัวของพวกซีเรีย ก็เลยยกทัพข้ามน.จอร์แดนไปทำสงครามกับพวกซีเรีย..ให้หายสงสัย คราวนี้ ซีเรียแพ้ยับเยิน เสียหายหนักกว่าคราวที่แล้ว..ก็เลยคิดออก..ว่ามันไม่คุ้มเลยที่จะต่อกรกับกษัตริย์และประชากรของพระเจ้า กษัตริย์ซีเรียที่เหลือเลยยอมจำนนขอสงบศึกกับอิสราเอลแล้วก็ไม่กล้าไปช่วยพวกอัมโมนอีกเลย
ดาวิดกับนางบัทเชบา
3-4 บทที่ผ่านมา เราได้เห็นความสำเร็จในจุดสูงสุดแล้วก็ภาพลักษณ์ที่สวยงามของดาวิดไปแล้ว แต่ในบทที่11-12 จะเป็นอีกแบบนึง เราจะเห็นแง่มุมที่เป็นคนละขั้วกับสิ่งที่ดาวิดทำในบทที่เราเรียนจบไป เพราะบทต่อไปนี้เราจะได้เห็นความตกต่ำแบบสุดๆของดาวิด ยิ่งเคยเห็นความชอบธรรมของเขามากเท่าไหร่ เวลาที่ตกลงไปในความบาปภาพก็จะชัดมากขึ้นเท่านั้น เพราะงั้น บทต่อไปจะเป็นเสียงย้ำเตือนเราอีกครั้งว่า “ความสำเร็จฝ่ายโลก หรือแม้แต่จิตวิญญาณที่เติบโต ไม่ได้เป็นเกราะป้องกันการทำบาป” แล้วถ้าวันนี้หรือวันก่อนๆเราเคยชนะเนื้อหนังของตัวเองได้..มันก็ไม่ได้แปลว่า เราจะชนะตลอดไป เด็กๆถึงจำเป็นต้องติดสนิทกับพระเจ้า......อธิฐานและร้องขอให้พระองค์ช่วยอยู่ตลอดเวลา อย่างดาวิดถึงจะเป็นเงาของพระคริสต์ แต่ก็เป็นแค่”เงา” เพราะยังไงดาวิดก็ยังเป็นคน และขึ้นชื่อว่าคน..ยังไงก็ไม่มีวันจะที่จะสมบูรณ์พร้อม เราทุกคนรู้ว่าความสมบูรณ์พร้อมมีอยู่ในองค์พระเยซูคริสต์ผู้เดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้น อย่าคาดหวังมากมายกับมนุษย์ จงรักและเข้าใจในแบบที่เค้าเป็น ไม่ใช่ที่เราอยากให้เป็น
ดู2ซมอ.11:1 ข้อนี้เป็นเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องจากบทที่10เลย..เรารู้ว่าคนซีเรียแพ้อิสราเอลแล้ว แต่คนอัมโมนที่จ้างพวกนี้มาช่วย..ยังแพ้ไม่ขาด เพราะตอนที่พวกเขาหนีกลับไปปกป้องเมืองหลวง ซึ่งน่าจะคือเมือง“รับบาห์” (ปัจจุบันก็คือ อัมมาน ของจอร์แดน) ตอนนั้น ดาวิดไม่ได้ติดใจตามไปโจมตีต่อ ข้อนี้บอกว่า..”เมื่อถึงฤดูแล้งบรรดากษัตริย์ก็ยกทัพไปรบ” คือ หน้าแล้งจะเป็นช่วงที่ประเทศต่างๆนิยมออกไปทำสงคราม เพราะสภาพอากาศมันเหมาะสม ตอนนี้ก็เลยเป็นเวลาที่อิสราเอลจะไปสะสางปัญหาที่ค้างคาอยู่กับพวกอัมโมน ดาวิดสั่งโยอาบให้เกณฑ์ทหาร..รวมทั้งชายอิสราเอลทั้งหมดให้ไปรบกับพวกอัมโมน แต่”ตัวเองไม่ไป”..เพราะท้ายข้อที่1 นี้บอกว่า..”แต่ดาวิดประทับที่เยรูซาเล็ม” น้าตุ๊กอ่านข้อนี้แล้วรู้สึกขัดๆตั้งแต่ตอนนี้เลย..เอ๊ย มันแปลกๆนะ แล้วดาวิดเป็นไร..ทำไมไม่ไปรบ นิสัยอย่างงี้มันไม่ใช่ดาวิดนะ
ดู2ซมอ.11:2-3 การนำทัพออกสู่สนามรบเป็นหน้าที่โดยตรงของกษัตริย์ แล้วดาวิดก็เคยทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี..มาตลอด จนถึงตอนนี้ ดาวิดไม่ใช่แค่..ไม่ไปรบ ข้อที่2 บอกว่า..”อยู่มาเวลาเย็นดาวิดทรงลุกจากพระแท่น..” เราตื่นนอนตอนไหน ข้อนี้บอกว่า เดี๋ยวนี้“ดาวิดตื่นเย็น” เสร็จแล้วก็ไปเดินเล่นลั้นลาอยู่บนดาดฟ้าพระราชวัง แล้วแน่นอนดาดฟ้าพระราชวังต้องอยู่สูงกว่าบ้านทุกหลัง กษัตริย์จะได้มองเห็นทิวทัศน์ระยะไกลได้ชัดเจน เดินไปเดินมา..วิวระยะไกลคงไม่ค่อยสวย เพราะมันมีวิวใกล้ๆน่าสนใจกว่า พระคำภีร์บอกว่า..ดาวิดมองลงมาเห็นผู้หญิงคนนึงสวยมากซะด้วย..กำลังอาบน้ำ ดาวิดไม่รู้จักผู้หญิงคนนี้ แล้วเราก็ไม่รู้ว่าดาวิดเห็นน้อย..เห็นมาก แต่จะเห็นแค่ไหนก็ไม่มีความผิด..ถ้าดาวิดเห็นแล้วก็”เลิกมองซะ”หยุดอยู่แค่นั้น แต่มันไม่ใช่เพราะ ข้อที่3 บอกว่า ดาวิดติดใจจนต้องใช้ให้คนไปสืบมา..ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร
ได้ความว่า..[เธอชื่อบัทเชบา”เป็นภรรยา” ของอุรีอาห์..คนฮิตไทต์] ต่อให้ไม่เลิกมองก็ยังไม่แย่ซะทีเดียว..ถ้ามันติดใจมากจนลืมไม่ลง ก็ไม่แปลกถ้าดาวิดจะอยากรู้ต่ออีกนิดนึง..ว่า “ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร” แต่เมื่อคำตอบมันแทงออกมาชัดเจนแล้ว..ว่านี่คือ บัทเชบา “ภรรยาของอุรีอาร์” แปลว่าเขา”แต่งงานแล้ว”แล้ว ดาวิดก็น่าจะหยุด.. เพราะ สิ่งที่ดาวิดต้องตระหนักคือ เฮ้ย..นี่เมียชาวบ้าน
ดู2ซมอ.11:4-5 ข้อนี้บอกว่า..ทั้งที่รู้ว่าบัทเชบามีสามี “ดาวิดก็ยังจะใช้ผู้สื่อสารไปรับนางมา” แอบเห็นเขาอาบน้ำ..ก็ไม่เลิกมอง รู้ว่าเขามีสามีแล้ว..ก็ยังจะเอา ใจไม่เคยคิดที่จะหยุดการกระทำของตัวเอง ไม่คิดจะยำเกรงความบาป เพราะฉะนั้น เด็กๆคิดตามให้ดี..ความบาปอันนี้ของดาวิด..ไม่ใช่ accident..ไม่ใช่เรื่องที่คาดไม่ถึง หรือทำไปโดยไม่รู้ตัว แล้วดาวิดก็ไม่ได้ถูกจู่โจม..ให้ต้องตัดสินใจพลาด..เพราะไม่มีเวลาคิด แต่ดาวิดเห็น..แล้วก็คิด..คิดแล้วก็ทำ เขาจงใจก่อร่างสร้างความบาปอันนี้ด้วยตัวเอง..จนถึงที่สุดด้วย จริงๆแค่คิดก็ผิดแล้ว การแอบคิดเรื่องชู้สาวกับคนที่แต่งงานแล้ว..ก็ถือว่าผิด แต่เรื่องอย่างงี้มันสามารถเกิดขึ้นกับทุกคนได้ง่ายมาก เพียงแต่เราต้องรีบ”หยุด”ความคิดหรือความบาปให้เร็วที่สุด เพราะสิ่งนี้มันเหมือนมะเร็ง ถ้าตัดเร็วก็มีโอกาสรอด แต่ถ้าปล่อยไว้มันจะเป็นเนื้อร้ายที่กัดกินเราไปจนตาย เหมือนดาวิดที่ต่อไปจะต้องลากเลือด เพราะ”ไม่ยอมหยุด” เพราะข้อที่4 นี้บอกว่า..แล้วดาวิดก็ได้สมสู่กับบัทเชบาสมใจปรารถนา เสร็จแล้วก็ส่งนางกลับบ้านไป ดาวิดคิดว่าเรื่องจะจบแค่นั้นหรอ..เปล่ามันไม่จบง่ายๆ เพราะบัทเชบาท้อง..
ดู2ซมอ.11:6-7 พอรู้ว่าบัทเชบาท้อง..ดาวิดสั่งคนไปบอกโยอาบ..ว่าให้ส่งตัวอุรีอาร์กลับมา ลักษณะว่า..จะให้อุรีอาร์มารายงานสถานการณ์ในสนามรบ เพราะข้อที่7 บอกว่า พออุรีอาร์มาถึง ดาวิดก็ทำเป็นถามนู่น..ถามนี่ โยอาบเป็นไงบ้าง..พวกทหารสบายดีมั๊ย แล้วรบกันไปถึงไหนแล้ว..ประมาณนี้ แต่พระคำภีร์ก็ไม่ได้บันทึกว่าอุรีอาร์ตอบว่าไงมั่ง..เพราะนั่นคงไม่ใช่ประเด็น เพราะ ตอนนี้ดาวิดไม่ได้ใส่ใจเหล่าทหารกับการรบจริงๆ เขาแค่กำลังพยายามจะทำบางอย่างเพื่อแก้ปัญหาให้ตัวเองอยู่ โยอาบกับอุรีอาร์เลยถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะดาวิดกำลังจะใช้เขาเป็นเครื่องมือปกปิดความบาปของตัวเอง..
ดู2ซมอ.11:8-9 หลังจากที่ทำเป็นเนียน..นั่งฟังรายงานสถานการณ์สนามรบจากอุรีอาร์แล้ว ข้อนี้บอกว่า ดาวิดก็ทำเป็นใจดี..อนุญาตให้อุรีอาร์ กลับบ้านและ”ล้างเท้า” พร้อมทั้งลูบหลังตบรางวัล..ด้วยการให้คนนำของประทานจากพระราชาตามไปด้วย” คือ มันเป็นธรรมเนียมที่เมื่อกลับบ้านแล้ว ทุกคนก็จะ”ล้างเท้า”ขึ้นบ้าน..รับประทานอาหาร และพร้อมที่จะเข้านอน เพราะฉะนั้น ความหมายของข้อนี้ก็คือ ดาวิดกำลังกล่อมให้อุรีอาร์กลับบ้านไปพักผ่อน และ หลับนอนกับเมียซะ [“แหม..ไปรบตั้งนาน คงจะคิดถึงกันแย่ละ ไปๆกลับไปนอนกะเมียซะให้หายคิดถึง” เรื่องสิ่งอำนวยความสะดวก..ไม่ต้องเป็นห่วงนะ เดี๋ยวกษัตริย์จะให้คนจัดข้าวปลาอาหารอย่างดีไปให้..] ถ้าเป็นสมัยนี้ดาวิดคงจะเตรียมดินเนอร์ใต้แสงเทียนไว้ให้อุรีอาร์กับบัทเชบาเพื่อ...บิ๊วท์ อัพ เต็มที่... แต่อุรีอาร์ไม่ติดกับ !!!เพราะคงพอจะเข้าใจว่าดาวิดคิดจะทำอะไร จุดนี้เลยทำให้เรารู้สึกว่า..อุรีอาร์น่าจะต้องรู้ระแคะระคายว่าดาวิดทำไรไว้ อุรีอาร์ถึงรู้ทันแผนชั่วของดาวิดและไม่ยอมตกเป็นเครื่องมือปกปิดความบาปให้เค้า เพราะข้อที่ 9 บอกว่า อุรีอาร์ไม่ยอมกลับบ้านตามที่ดาวิดหวัง..คืนนั้นทั้งคืนเค้านอนที่ประตูเมือง แปลว่า มีพยานด้วย..ว่าเขาไม่ได้ไปนอนกะเมีย เพราะที่ประตูเมืองจะเป็นที่ๆมีข้าราชการผู้ใหญ่อยู่ด้วยเยอะแยะ เพราะจะต้องคอยอารักขากษัตริย์
กำลังสนุกเข้มข้นทีเดียวค่ะ แต่หมดเวลาแล้วพบกันใหม่สัปดาห์หน้านะคะ
ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

วันจันทร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

หนังสือ 2ซามูเอล ครั้งที่5 อาทิตย์ที่ 31:10:2010

สองสัปดาห์ก่อน..เราจบลงที่เรื่องของ”มีคาล” ภรรยาของดาวิด..(เด็กๆพยายามคิดทบทวนตามหน่อยนะคะ) มีคาล..แสดงออกว่าไม่พอใจอย่างชัดเจน ที่ดาวิดไปเต้นรำร่วมกับประชาชน..ด้วยความชื่นชมยินดีอย่างสุดๆ เพราะ”มีคาล” ถือตัว..ว่าเธอเกิดมาก็เป็นลูกกษัตริย์ คือ ซาอูล แล้วตอนนี้ก็ยังได้เป็นภรรยาของกษัตริย์อีก คือ ดาวิด
วันนี้เราเลยจะมาเสริมเรื่องนี้กันนิดนึงก่อนที่จะขึ้นบทที่7 คือ เป็นเรื่องเกี่ยวกับ “ท่าทีของมีคาลต่อกษัตริย์ดาวิด โดยสัมพันธ์กับท่าทีของพวกฟาริสีต่อพระเยซูคริสต์ในพระคำภีร์ใหม่ “ ตรงจุดนี้ มันมีเรื่องที่ทำให้เราสามารถมองภาพได้กว้างขึ้น..ชัดเจนขึ้น เพราะกษัตริย์ดาวิด คือภาพจำลองของพระเยซูคริสต์ ดังนั้น สิ่งที่ทุกคนปฏิบัติบัติต่อดาวิด รวมถึงที่ดาวิดตอบสนองต่อผู้อื่น ก็มักจะมีภาพสะท้อนด้วยเสมอ อย่างที่”มีคาล” กล่าวโทษดาวิดนี้..มันเป็นภาพเดียวกับที่พวกธรรมมาจารย์และฟาริสีกล่าวโทษพระเยซู..
ให้เราเปิดไปดู มัทธิว9:10-11
ข้อนี้บอกว่า เมื่อพวกฟาริสีเห็นพระเยซูร่วมรับประทานอาหารกับคนเก็บภาษีแล้วก็คนบาป พวกเขาก็ไปพูดติติงพระเยซูกับเหล่าสาวกประมาณว่า..อาจารย์ที่พวกท่านนับถือ ทำไมถึงไปคลุกคลีกับคนพวกนั้น คือพวกฟาริสีเนี่ย..เขาจะสำคัญว่าตัวเองเป็นคนชอบธรรม..สูงส่ง เพราะรู้กฏบัญญัติของพระเจ้า แล้วก็จะไม่สุงสิงคลุกคลีกับคนต่ำต้อย คนต่ำต้อยในสายตาของพวกเขาก็คือ โสเภณี คนเก็บภาษี ขอทาน รวมถึงคนต่างชาติ..ที่ไม่ใช่ยิว ซึ่งอันนี้..มันเป็นทัศนคติเดียวกันกับมีคาล..เป๊ะ..เพราะมีคาลก็ตำหนิดาวิดประมาณนี้ คือ ไม่รู้จักไว้ตัว..เป็นถึงกษัตริย์แต่กลับไปเต้นรำทำเพลง คลุกคลีตีโมงกับคนธรรมดา ตรงจุดนี้ ลองสังเกตดูให้ดี..ว่าฟาริสีกับมีคาล..มีอะไรที่เหมือนกัน
...ฟาริสีเป็นผู้นำจิตวิญญาณของพวกยิว..ถือว่าเป็นคนมีเกียรติ
...ส่วนมีคาลเกิดมาฐานะสูงส่ง..อยู่เคียงข้างกษัตริย์ตลอด
เพราะฉะนั้น สิ่งที่เหมือนกัน คือ ทั้งคู่ยืนอยู่ในจุดที่มี”อำนาจ” แล้ว”การมีอำนาจ” ก็สามารถพิสูจน์ตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์ได้เหมือนกัน เพราะเวลามีอำนาจคนเราจะทำอะไรก็ได้ แต่สิ่งที่เขาเลือกทำ..มันจะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมา
ดูต่อมัทธิว 9:12-13 ในข้อนี้ พระเยซูทรงตอบพวกฟาริสีว่า..”คนเจ็บต้องการหมอ เรามิได้มาเพื่อคนชอบธรรม แต่มาเรียกคนที่พวกท่านว่า”นอกรีต” หมายความว่า พระองค์เสด็จมาเพื่อช่วยคนบาป คนที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนไม่ดี..หรือใครก็ตามที่คิดว่าตัวเองยังบกพร่อง เรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือแม้แต่บกพร่องไปซะทุกเรื่อง ส่วนคนที่คิดว่าตัวเองดีพอแล้ว..ก็คงไม่ต้องการให้ช่วย เพราะฉะนั้น คนที่นิสัยเหมือนพวกฟาริสีกับมีคาลก็มักจะไม่ร้องหาพระเจ้า..ไม่ยอมรับพระเยซู เพราะไร..เย่อหยิ่งเกินกว่าจะยอมรับความช่วยเหลือจากใคร ทีนี้ เราไปดูกันว่าพระเยซูทรงกล่าวโทษพวกฟาริสียังไงบ้าง
ดู ลูกา 11:42 “วิบัติแก่เจ้า พวกฟาริสี ด้วยว่าพวกเจ้าถวายทศางค์..แล้วละเว้นความชอบธรรมและความรักพระเจ้าเสีย” แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร อย่างพวกเรา..ถ้าถือว่าชั้นมาโบสถ์ทุกอาทิตย์ แต่มานั่งๆแค่พอเป็นพิธี หรือถวายสิบลดแล้วก็คงพอ แต่ไม่เคยสนใจที่จะดำเนินกับพระเจ้าด้วยความรัก ไม่สนใจว่าพระเจ้าสอนอะไร หรือทำแบบไหนถึงจะเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า..ก็คงจะผิดซะแล้ว ใครก็ตามที่คิดอย่างงั้น..ก็ไม่ต่างกับพวกฟาริสี ข้อที่42 พระเยซูทรงบอกต่อไปว่า..”สิ่งเหล่านั้นพวกเจ้าควรได้กระทำอยู่แล้ว แต่สิ่งอื่นนั้นก็ไม่ควรละเว้นด้วย” มันเป็นการดีที่เราจะมาโบสถ์ทุกอาทิตย์ ช่วยงานพันธกิจ ถวายสิบลดด้วยความเชื่อฟัง แต่ต้องไม่ลืมสิ่งสำคัญสุดที่พระเจ้าทรงสอนไว้ ก็คือ “รักพระเจ้าสิ้นสุดจิตใจ รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง” แต่พวกฟาริสีทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม ดูต่อ..
ลูกา 11:43-44 “วิบัติแก่เจ้า พวกฟาริสี ด้วยว่าพวกเจ้าชอบที่นั่งอันมีเกียรติในธรรมศาลา และชอบให้เขาคำนับที่กลางตลาด..” ไม่ใช่แค่พวกฟาริสีที่ชอบอยู่ในฐานะที่มีเกียรติ แต่มนุษย์ส่วนใหญ่ก็ชอบเหมือนกัน เพราะมันรู้สึกดีที่ได้เป็นคนสำคัญ พิเศษกว่าคนอื่น หรือมีคนมากราบไหว้ สรรเสริญ แล้วฟาริสีก็จะถือว่าตัวเองเป็นปุโรหิต รู้พระบัญญัติของพระเจ้า.. ”แต่ก็แค่รู้” ไม่ได้ใส่ใจจริงจังที่จะทำตาม แถมยังเอาตำแหน่งหน้าที่มาหัวโขน..เป็นเครื่องมือหาความสำคัญใส่ตัว พระเยซูถึงได้ทรงกล่าวโทษคนพวกนี้ตรงๆ..ว่าดีแต่นั่งทำตัวเป็นคนสำคัญ ถือตัวว่าวิเศษกว่าคนอื่น แล้วก็ตั้งแง่รังเกียจคนที่ต่ำต้อย ซึ่งตรงข้ามกับสิ่งที่พระเยซูทำอย่างสิ้นเชิง เพราะพระเยซูไม่ใช่แค่ไม่ถือพระองค์ แต่พระองค์ทำในสิ่งที่..หลายๆคนไม่ทำด้วย..อย่างล้างเท้าให้เหล่าสาวกอย่างเงี้ย เราลองถามตัวเองก็ได้..ว่าเกิดมาชาตินี้เคยคิดจะล้างเท้าให้ใครมั๊ย..แม้แต่แม่ตัวเองก็เถอะ แต่ทั้งหมดทั้งมวลที่พระเยซูทรงทำนั้น..ความถ่อมพระองค์ลงถึงจุดต่ำสุดก็คือ....
เปิดไปดู ฟิลิปปี 2:5-8 “ทรงยอมสละสภาพพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ และเมื่อทรงปรากฎพระองค์ในสภาพมนุษย์แล้ว ก็ทรงถ่อมลงเชื่อฟังจนถึงมรณา..” ลองคิดดูถ้าเป็นเรา..ไม่ต้องพูดถึงขนาดจะต้องมรณาหรอก แค่จะให้ถ่อมนิดๆหน่อยๆ ยังทำใจยากเลย..
สมมติว่าเราเป็นลูกเจ้าของบริษัท แล้วพ่อแม่ก็อยากให้ได้ปกครองดูแลกิจการต่อ ก็เลยคิดว่าลูกน่าจะรู้งานทุกอย่างนะ เลยให้ไปเป็นภารโรงก่อน..เราจะรู้สึกยังไง น้าตุ๊กว่า..ไม่ต้องถึงขนาดให้เป็นภารโรงหรอก บางคนแค่ให้ไปเป็นพนักงานธรรมดาๆคนนึง ยังไม่อยากเป็นเลย..เพราะไร..ก็ชั้นเป็นถึงลูกเจ้าของบริษัท จำเป็นด้วยเหรอที่จะต้องทำถึงขนาดนั้น ในเมื่อชั้นเป็นลูกเจ้าของ อีกหน่อยชั้นก็ต้องได้ครอบครองบริษัทนี้อยู่ดี แล้วจะทำอย่างงั้นไปเพื่ออะไร..
พอจะเห็นภาพรึยัง..ว่าพระเยซูคริสต์ทำถึงขนาดไหน พระองค์ไม่ได้เป็นแค่ลูกเจ้าของบริษัทนะ พระองค์เป็น”พระเจ้า” แล้วพระองค์ทำอะไร ลดตัวลงมาเกิดเป็นมนุษย์..ไม่ใช่มนุษย์ที่สูงศักดิ์ แต่เป็นลูกช่างไม้ธรรมดา ไม่ได้เกิดในวังที่หรูหรา แต่เป็นโรงนาซอมซ่อ ต่อจากนั้น พันธกิจที่พระองค์ทรงทำเพื่อไถ่เรา ก็ไม่ใช่ชัยชนะในแบบที่มนุษย์ประทับใจ พระองค์ยอมถูกข่มเหง ทำร้าย สุดท้ายถูกฆ่าจนตายแบบยับเยินไม่มีชิ้นดี ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่พระองค์ “ยอมถ่อมลง” เพื่อเรา แล้วเราล่ะ..คิดจะยอมถ่อมเพื่อพระองค์แค่ไหน ไม่ต้องไปคิดถึงภารกิจสูงส่งหรอก เอาง่ายๆ ใครมองหน้าหน่อยก็อยากจะไปต่อยมันแล้ว โดนขับรถปาดหน้า..ก็ยอมไม่ได้ ต้องไปปาดคืน..ไม่งั้นเสียศักดิ์ศรี ดีไม่ดียิงกันตายไปเลย (ไร้สาระจริงๆ)
เพราะฉะนั้นจริงๆแล้วพวกฟาริสีเนี่ย..แทบจะไม่รู้จักพระเจ้าเลยด้วยซ้ำ มัวแต่คิดว่าชั้นคือผู้รู้แจ้ง..รู้จริงในกฎบัญญัติของโมเสส หลงผิดคิดว่าตัวเองเป็นคนสำคัญ..วิเศษกว่าคนอื่น แต่จริงๆแล้วไม่ใช่..
กลับมาที่ 2ซมอ.7:1-3 ข้อนี้บอกว่า..เมื่อดาวิดสร้างพระราชวังเสร็จแล้ว พระเจ้าก็ทรงให้เขาได้พักสงบจากการศึกสงคราม ในช่วงนี้..คงเป็นเวลาที่ดาวิดกำลังเต็มล้นด้วยความสุข เพราะเหมือนจะประสบความสำเร็จในทุกด้าน ได้เป็นกษัตริย์ของอิสราเอลแล้ว พระราชวังที่งดงามก็สร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว หีบพันธสัญญาก็ได้มาอยู่ที่เยรูซาเล็มเรียบร้อยแล้ว เด็กๆนึกภาพดู..ว่าตอนนี้ดาวิดจะสุขขนาดไหน พอมีความสุขมาก..มันก็ล้น แต่จะล้นออกทางไหน..แต่ละคนไม่เหมือนกัร อย่างดาวิดสุขล้นจนคิดว่า..เขาน่าจะสร้างพระนิเวศน์ให้พระเจ้า ถ้าพูดให้เข้าใจง่ายก็คือ ดาวิดกำลังคิดจะสร้างที่อยู่ใหม่ให้พระเจ้า เพราะมองไปมองมา..ตอนนี้ตัวเองก็อยู่ในวังอลังการใหญ่โต แต่หีบพระสัญญาอยู่ในเต๊นท์ผ้า (ที่สุดแสนจะธรรมดา) ส่วนนาธันผู้เผยพระวจนะฟังแล้วก็บอกว่า..”ขอเชิญทรงกระทำทั้งสิ้นตามพระประสงค์ของฝ่าพระบาท..” แปลว่าเห็นด้วยเหมือนกัน แต่พระเจ้าจะทรงเห็นด้วยมั๊ย ดูต่อไป
2ซมอ.7:4-7 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า “เจ้าจะสร้างนิเวศน์ให้เราอยู่หรือ..” ว่าไงนะ..ดาวิด เจ้าจะสร้างบ้านให้เราอยู่หรือ !!! “ตั้งแต่วันแรกที่พวกเจ้าได้รู้จักเรา เราไม่เคยอยู่ในนิเวศน์ แล้วก็ไม่เคยพูดซักคำว่า..เราอยากอยู่ในวิหารที่ทำด้วยไม้สนสีดาร์” ข้อที่ 6 พระเจ้าตรัสว่า..”นับแต่วันที่เราพาคนอิสราเอลออกจากอียิปต์จนถึงวันนี้ เราก็ไปมากับเต๊นท์พลับพลา” แปลว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามันพิสูจน์แล้วว่าพลับพลาก็ใช้การได้ดี ไม่มีอะไรขาดตกบกพร่อง หรือเกิดปัญหาเพราะพลับพลา..มันดูกระจอก ดังนั้น พระวจนะคำที่พระเจ้าทรงตรัสผ่านนาธัน เป็นสิ่งที่ทั้งนาธันและดาวิดต้องเอากลับไปคิดใหม่ เรื่องอะไร..ใครกันแน่เป็นผู้ให้และใครเป็นคนรับความช่วยเหลือ พระเจ้าต่างหากที่เป็นคนมอบทุกอย่างให้ แต่ตอนนี้ คล้ายๆว่าดาวิดกำลังจะหลงประเด็นไป..อย่างไม่ได้ตั้งใจ
ดู2ซมอ.7:8-9 “เราเอาเจ้ามาจากทุ่งหญ้า เพื่อให้เป็นเจ้านายเหนืออิสราเอล..” ไม่ว่าดาวิดจะทำอะไร พระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วย..พระองค์ทรงช่วยกำจัดศัตรูให้ดาวิด พระองค์ทรงมอบความสำเร็จให้ ตอนนี้ ดาวิดกำลังประสบความสำเร็จ และอยู่ในจุดที่เรียกว่า”มีอำนาจอยู่ในมือ” แล้วอำนาจหรือความสำเร็จ ก็มักจะทำให้คนเปลี่ยนไป ฮอร์โมนของความเย่อหยิ่งมันจะหลั่งออกมา..ทุกคน ไม่ได้บอกว่าดาวิดผิดหรือคิดไม่ดีที่จะสร้างวิหารให้พระเจ้า แต่ตอนนี้ เค้ากำลัง”ล้ำเส้นไป” (นิดนึง ด้วยความไม่ตั้งใจ) ถึงได้เผลอคิดจะช่วยพระเจ้า..ด้วยการจะสร้างที่อยู่ให้พระองค์
เปิดไปดู ฉธบ.8:12-14 “เกรงว่าเมื่อพวกเจ้าอยู่ดี กินดี มีทุกอย่างพร้อม แล้วใจก็จะผยองขึ้น” นี่คือ ถ้อยคำที่พระเจ้าเตือนไว้ผ่านทางโมเสส และตอนนี้ ดาวิดก็เกือบจะติดกับในเรื่องเดียวกัน แล้วสิ่งที่พระเจ้าเตือนดาวิดก็เป็นบทเรียนที่คริสเตียนทุกคนควรจะต้องจำใส่ใจไว้ว่า.. “จิตวิญญาณที่เติบโต หรือความสำเร็จในชีวิต ไม่ได้เป็นเกราะป้องกันการทำบาป แต่ความสุขสบายหรือแม้แต่จิตวิญญาณที่เติบโต มันกลับเป็นตัวทดลองให้เราทำบาปได้ง่ายขึ้นด้วยซ้ำ” เหมือนดาวิด..จุดที่เขาได้อยู่สุขสบายในวัง..กลับอันตรายต่อจิตวิญญาณมากกว่า..ตอนที่ต้องหนีซาอูลหัวซุกหัวซุนอยู่ตามถ้ำ เพราะตอนนั้น มันหลังกระแทกฝา ไม่มีตัวช่วย ชั้นต้องอยู่ด้วยความเชื่ออย่างเดียว มันเลยเห็นพระเจ้าชัดเจน เพราะฉะนั้น น้าตุ๊กเลยอยากจะบอกว่า..”เราบางคนยากจนก็ดีแล้ว” ถึงต้องลำบากบ้างก็เป็นสิ่งดี เพราะพระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่า..อะไรจะเกิดขึ้นถ้าเรารวย มีอำนาจ หรือสุขสบาย หลายคนอาจไม่ชอบคำนี้ แต่น้าตุ๊กจำเป็นต้องพูด เพราะมันคือความจริง...
ดู2ซมอ.7:11-12 หลังจากที่พระเจ้าทรงติติง..จนดาวิดเห็นภาพแล้ว..ว่าพระเจ้าไม่ต้องการวิหาร พระองค์ไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะต้องใช้มัน เพราะฉะนั้น พวกเราเลิกคิดได้เลยว่า..พระเจ้าผู้เที่ยงแท้จะทรงโปรดปรานอยู่แต่ในที่ที่เลิศหรูอลังการ หรือพระเจ้าต้องสถิตอยู่กับคนที่ภูมิฐาน ฐานะดี..ไม่ใช่ ข้อที่11 พระเจ้าทรงบอกว่า..”เราจะให้เจ้ามีราชวงศ์..” นี่คือ การเสริมทับจากพระเจ้า..ที่จะให้ดาวิดได้มองเห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์มากขึ้นไปอีก ตอนนี้ ดาวิดคิดว่า..พระเจ้าให้เขามากเกินพอ มาไกลเกินฝันแล้วใช่มั๊ย ถึงได้คิดอยากจะตอบแทนพระองค์ซะเหลือเกิน แต่สำหรับพระเจ้าสิ่งที่ดาวิดได้รับในวันนี้..เล็กน้อยมาก..ไม่ใช่แค่นี้ที่พระเจ้าทำได้ ข้อนี้พระเจ้าสัญญาว่า..”จะให้ดาวิดมีราชวงศ์” คือ ไม่เหมือนซาอูล..ที่การครองราชย์จบสิ้นแค่ที่ตัวเค้า ข้อที่12 พระเจ้าบอกว่า..”เราจะให้บุตรชายคนหนึ่งครองบัลลังก์ต่อจากเจ้า..” ข้อนี้ ในระยะเวลาอันใกล้ หมายถึง ซาโลมอน เพราะข้อที่13 บอกว่า “เขาจะเป็นผู้สร้างวิหาร (ฝ่ายโลก) และข้อที่14 บอกว่า “..ถ้าเขาทำผิดเราจะตีสอนเขาด้วยไม้เรียวแห่งบุตรมนุษย์” แน่นอน อันนี้ไม่ใช่พระเยซูคริสต์ เพาะพระองค์ ไม่มีวันทำผิด แต่ข้อนี้ก็เป็นหมายสำคัญถึงพระเยซูคริสต์ด้วยที่จะทรงเป็นผู้สร้างคริสตจักรหรือวิหารฝ่ายวิญญาณในอนาคต
2ซมอ.7:13 ”เขาจะเป็นผู้สร้างนิเวศน์เพื่อนามของเรา..” พระเจ้ากำลังจะบอกเราว่า..การสร้างวิหารหรือคริสตจักรนั้น..เป็นสิ่งที่ดี แล้วคริสตจักรใหญ่โตหรูหราก็ไม่ได้เป็นสิ่งชั่วร้ายเสมอไป แต่สิ่งสำคัญที่ทั้งดาวิดและเราต้องจำไว้ก็คือ อย่าหลงประทับใจกับอาคาร..บุคคลที่ดูหรูหราภูมิฐาน หรือเอาความดูดีภายนอกมาตัดสินการสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้า เพราะฉะนั้น “ดาวิดไม่ผิดที่อยากจะสร้างนิเวศน์ให้พระเจ้า แต่ผิดที่ประเมินคุณค่าจากรูปลักษณ์ภายนอก” ของพลับพลา..ว่ามันกระจอก แล้วอีกอย่างที่เราต้องจำไว้คือถ้าพระเจ้าอยากให้สร้างหรือทำอะไรก็ตาม..พระองค์จะกำหนดเองทุกอย่างว่าต้องสร้างแบบไหน เมื่อไหร่ อย่างไรและจะให้ใครเป็นคนทำ เพราะทุกอย่างต้อง”โดยพระองค์และเพื่อพระองค์” ไม่มีคำว่า “โดยเรา เพื่อ พระเจ้า”
ดู2ซมอ.7:14-15 “เราจะเป็นบิดาของเขา และเขาจะเป็นบุตรของเรา” ต่อไปดาวิดจะมีบุตรหลายคน และบุตรเหล่านี้จะเป็นบุตรของพระเจ้า “ถ้าเขาทำผิด เราจะตีสอนเขาด้วยไม้เรียวแห่งบุตรมนุษย์” และโดยทางสัญญานี้..ความรักมั่นคงของพระเจ้าจะไม่พรากไปจากพงศ์พันธ์ของดาวิดและพวกเราด้วย ข้อที่16 พระเจ้าบอกว่า..ราชวงศ์และบัลลังก์ของเจ้าจะถูกสถาปนาไว้เป็นนิตย์ แปลว่าอยู่ตลอดไป โดยทางพระเยซูคริสต์ ผู้ช่วยให้รอดที่จะทรงมาบังเกิดทางเชื้อสายของดาวิด สิ่งนี้ยิ่งใหญ่กว่าพระพรที่ดาวิดได้รับมากมายหลายเท่าอย่างเทียบกันไม่ได้
ท่าทีของดาวิดในการตอบสนองพระเจ้า
ดู2ซมอ.7:18-19/20-22 พอนาธันเผยพระวจนะพระเจ้าเสร็จเรียบร้อย ดาวิดก็ไปเฝ้าพระเจ้าทันที และทูลพระเจ้าว่า..”ข้าแต่พระเจ้าข้าพระองค์เป็นผู้ใดเล่า พระองค์จึงทรงนำข้าพระองค์มาไกลถึงเพียงนี้..” ดาวิดสำนึกและถ่อมใจทันทีที่ถูกพระเจ้าเตือน เขาคิดได้ทันที..จริงๆแล้วเราเป็นใครมาจากไหน ก็ไอเด็กเลี้ยงแกะกะโปโลที่ไม่ได้ดีเด่นอะไร หรือมีความสำคัญอะไร แต่ด้วยพระคุณของพระเจ้าที่พาให้เขามายืนอยู่ตรงจุดนี้ มีทุกอย่างเพียบพร้อม และสิ่งเหล่านี้ก็กลายเป็นเรื่องเล็กน้อยทันที..ที่พระเจ้าสัญญาว่าจะประทานราชวงศ์ให้แก่เค้า ข้อที่20 บอกว่า “ดาวิดจะกราบทูลอะไรได้อีกเล่า...” คือ ดาวิดยอมรับว่าตัวเองคิดพลาดไป นี่คือบุคคลิกที่คริสเตียนทุกคนพึงมี นี่คือท่าทีที่ถูกต้อง..และน่ารักที่สุดที่เราควรทำเมื่อถูกท้วงติง เพราะมันสำแดงถึงการกลับใจใหม่อย่างแท้จริง ข้อที่22 ดาวิดกล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้า ฉะนั้นพระองค์ทรงยิ่งใหญ่ ไม่มีใดๆเหมือนพระองค์ ไม่มีพระเจ้านอกเหนือพระองค์ ตามที่หูของข้าพเจ้าทั้งหลายได้ยินมา”
ตอนนี้ ดาวิดจำตัวเองได้ละ ว่าเขาเป็นใคร..มาจากไหน ถึงได้โมทนาสรรเสริญพระเจ้า..ด้วยความยำเกรงต่อข้อเท็จจริงที่พระเจ้าชี้ให้เห็น..ว่าจริงๆเขาเป็นคนธรรมดา มาเป็นกษัตริย์ของอิสราเอลได้ก็ด้วยพระคุณของพระเจ้า แท้จริงแล้วจุดนี้เอง คือ หัวใจสำคัญของการนมัสการพระเจ้า เพราะเป็นการถ่อมใจลงนมัสการอย่างแท้จริง ความถูกต้องและสิ่งสำคัญของการนมัสการพระเจ้าอยู่ตรงนี้..ที่หัวใจเรานี่ ไม่ใช่อาคารใหญ่โตหรูหราหรือสิ่งที่ตามองเห็นแล้วประทับใจ
หมดเวลาแล้วค่ะ..พบกันใหม่สัปดาห์หน้า ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ