วันอาทิตย์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2553

หนังสือ1ซามูเอล ครั้งที่19 อาทิตย์ที่ 27:6:2010

ดาวิดกำลังตกที่นั่งลำบากเพราะความบาปของตัวเอง ถึงพระเจ้าจะให้เขารอดจากการที่ต้องไปรบกับพี่น้องตัวเอง ก็ไม่ได้หมายความว่าดาวิดจะไม่ต้องรับผลแห่งความบาป..ยังไงทุกคนก็ต้องกินผลที่ทำ ทันทีที่ดาวิดกลับถึงศิกลากก็เลยเจอกับเรื่องที่คิดไม่ถึง..พวกอามาเลขฉวยโอกาสตอนที่ฟิลิสเตียกับอิสราเอลตั้งท่าจะรบกัน..ไปปล้นเมืองทางใต้ของอิสราเอลกับหัวเมืองของฟิลิสเตีย รวมทั้งศิกลากด้วย..ที่ถูกเผาจนราบ พวกอามาเลขขโมยของไปหมด แต่ว่าไม่ได้ฆ่าใครแค่จับลูกเมียไปเป็นเชลย คนของดาวิดลงความเห็นกัน..ว่าทั้งหมดเป็นความผิดของดาวิด แล้วก็โกรธมาก..จนอยากฆ่าดาวิดให้ตาย
บทที่30ข้อ6 ทิ้งท้ายว่า”แต่ดาวิดก็มีกำลังขึ้นในพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน” เราจำเป็นต้องเอาประโยคนี้มาคิดให้ดี..เพราะมันเป็นจุดที่สำแดงความต่างระหว่างดาวิดกับซาอูล..
ดู1ซมอ.30:7-8 พอตั้งสติได้ ”ดาวิดก็มีกำลังขึ้นในพระเยโฮวาห์” ซึ่งน้าตุ๊กเชื่อว่า..พระเจ้าเป็นผู้ประทานกำลังอันนี้ให้ แล้วดาวิดถึงแสวงหาพระองค์ เพราะข้อที่7ดาวิดบอกอาบียาธาร์..ให้เอาเอโฟดออกมา เพื่อแสวงหาน้ำพระทัยพระเจ้า ดาวิดถามพระเจ้าว่า..เขาควรจะตามพวกโจรไปมั๊ย แล้วถ้าเจอ..เขาจะเอาชนะพวกนั้นได้รึเปล่า จริงๆตอนนั้น ดาวิดยังไม่รู้ด้วยซ้ำ..ว่าใครมาปล้นเขาเป็น แต่พระเจ้าบอกตามไปเลย..ทันแน่..แล้วจะชนะด้วย
พระคำภีร์ช่วงนี้ทำให้เราเห็นว่า..สภาพของดาวิดตอนนี้ไม่ได้ดีกว่าซาอูลเท่าไหร่ ซาอูลทำบาปมั๊ย..ดาวิดก็ทำเหมือนกัน แต่ความต่างของสองคนนี้ก็คือ..
ในเวลามืดมนที่สุด”ดาวิดไม่ใช่แค่เข้มแข็งขึ้นในพระเจ้าเท่านั้น เพราะข้อที่7 บอกไว้ชัดเจน..ว่าเขาแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าด้วย” แต่ซาอูลไม่ใช่..ซาอูลเลือกไปหาคนทรงทันทีที่พระเจ้าไม่ตอบเขา โดยไม่มีการกลับใจใหม่ น้าตุ๊กไม่เห็นซาอูลร้องไห้คร่ำครวญ ไม่มีสัญญาณอะไรเลยที่บ่งบอกว่าเขาสำนึกผิด ..อะไร?เป็นตัวหล่อหลอมให้ทั้งคู่ต่างกันขนาดนี้
เปิดไปดูสดุดี 91:14-15 “เพราะเขาผูกพันกับเราด้วยความรัก..” จริงๆแล้วสูตรสำเร็จในการดำเนินกับพระเจ้า..”ไม่มี” เรารู้ว่าดาวิดแสวงหาพระเจ้าเสมอเวลาที่ทุกข์ยาก..แล้วพระองค์ก็ช่วยกู้เขาไว้ทุกครั้ง เวลาทำผิดดาวิดก็ทูลขอการอภัยด้วยความสำนึกจากใจจริง..แล้วพระเจ้าก็ยกโทษให้ แล้วเราก็รู้ว่าดาวิดไว้วางใจพระเจ้า เพราะเขารู้จักพระเจ้าที่เขาเชื่อ..เขารู้จักพระเจ้า รู้จักพระลักษณะของพระองค์ อันนี้สำคัญมาก..เพราะในการที่เราจะไว้ใจใครซักคน เราต้องรู้จักคนๆนั้นเป็นอย่างดี มันเป็นไปไม่ได้..ที่เด็กๆจะไว้ใจเพื่อนหรือผู้ใหญ่ซักคนอย่างสุดจิตสุดใจ..โดยที่รู้จักเขาแค่ผิวเผิน ในเรื่องของฝ่ายวิญญาณก็เช่นเดียวกัน..ใครก็ตามที่ยังเชื่อครึ่งๆกลางๆ เชื่อมั่งไม่เชื่อมั่ง เชื่อก็ได้ไม่เชื่อก็ได้ นั่นเป็นเพราะคุณยังไม่รู้จักพระเจ้าจริงๆ น้าตุ๊กขอแนะนำ..ให้เราแสวงหาพระเจ้าให้มากขึ้น แสวงหาจนรู้จักพระเจ้าเป็นอย่างดี เท่าที่พระองค์โปรดจะสำแดงแก่เรา..แล้วเราจะไม่สงสัยเลย..ว่าทำไมคนที่เจอพระเจ้าจริงๆ เขาถึงไม่อยากได้อะไรอีกเลย แล้วทำไมซาอูลถึงไม่เหมือนดาวิด เพราะผู้ที่จะแสวงหาพระเจ้า..ไม่ว่าจะในเวลาสุขหรือทุกข์..”..จะต้องเป็นคนที่ผูกพันกับพระเจ้าด้วยความรัก” เรื่องนี้สำคัญมาก..พระคำภีร์ถึงย้ำไว้หลายครั้ง..ทั้งพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่..
มาระโก 12:28-30 มัทธิว22:34-38 พระคำภีร์ทุกบททุกตอนเป็นพระวจนะของพระเจ้า ทุกถ้อยคำล้วนเป็นประโยชน์ต่อชีวิตมนุษย์ มีความลับมากมายซ่อนอยู่ในหลักเกณฑ์ของพระเจ้า..ที่เราไม่มีวันจะแสวงหาได้หมด แต่สำคัญที่สุด..คือ “มนุษย์จงผูกพันกับพระเจ้าด้วยความรักอย่างสุดจิต สุดใจและสุดกำลัง” เพราะความรักเป็นรากฐานสำคัญที่จะทำให้มนุษย์แสวงหาพระเจ้าและเชื่อฟังพระองค์ น้าตุ๊กเคยสอนเรื่องนี้ไปอย่างละเอียดในหนังสือฉธบ. แต่วันนี้เราจะทบทวนมหาบัญญัติข้อนี้อีกครั้งนึง เด็กๆจะได้จำแม่
ดูฉธบ.6:4-5 “ท่านจงรักพระเจ้าของท่านด้วยสุดจิต สุดใจ และสิ้นสุดกำลัง..” เรามาดูทีละคำที่พระเจ้าตรัสผ่านโมเสส..
1.รักสุดจิต หมายถึง รักพระเจ้าด้วยใจผูกพัน ลึกลงในความรู้สึกทั้งหมดที่มี เพราะสิ่งนี้จะทำให้เราไม่ใช่แค่ติดสนิทกับพระองค์..แต่เราจะหลอมเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า..ผ่านทางพระเยซู
2.รักสุดใจ หมายถึง รักพระเจ้าด้วยความคิดทั้งหมดที่เรามีและด้วยเจตนาบริสุทธิ์ ข้อนี้เป็นบ่อเกิดที่จะทำให้เราแสวงหาพระเจ้า แล้วถึงยุคสมัยจะเปลี่ยนไป รูปแบบชีวิตจะพลิกผันแค่ไหน..เด็กๆจะอยู่ในโลกของเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำซักเท่าไหร่..ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับคนที่รักพระเจ้าอย่างสุดความคิด เพราะเขาจะแสวงหาและคอยสังเกตเสมอ..ว่าพระเจ้าจะบอกอะไรเขาในแต่ละสถานการณ์ เพราะฉะนั้น คนที่รักพระเจ้าด้วยใจ จะยังสามารถอยู่อย่างศิวิไลซ์ได้อย่างไม่มีปัญหา เพราะเขาจะเป็นคนมีวินิจฉัย..แล้วก็ปรับตัวเองให้เข้ากับทุกสถานการณ์ได้อย่างถูกต้อง
3.รักพระเจ้าอย่างสิ้นสุดกำลัง หมายถึง รักอย่างสุดแรงเกิด..เกิดมามีแรงจะรักมากสุดแค่ไหน เทให้พระเจ้าแค่นั้น เพราะข้อนี้จะเชื่อมโยงกับความเชื่อฟัง มันส่งผลให้เรารักถ้อยคำพระเจ้า ไม่ว่าพระเจ้าจะบอกอะไร..เราจะเชื่อฟังและพยายามทำตามเสมอ เพราะเรารักอย่างสุดกำลัง..เลยอยากจะทำทุกอย่างให้คนที่เรารักพอใจ
ดู ฉธบ.6:6-7 “จงให้มหาบัญญัตินี้จารึกอยู่ในใจของเรา” ก็คือ รักพระเจ้าลงลึกในจิตใจ..เพราะสิ่งนี้จะควบคุมให้ทุกความคิด ทุกการวางแผน และทุกๆการตัดสินใจของเรา สำแดงความรักของพระเจ้าให้ปรากฎ ไม่ใช่สำแดงตามความต้องการของเรา ข้อที่7บอกว่า“..จงอุตส่าห์สอนถ้อยคำนี้..ที่บอกให้รักพระเจ้าอย่างงี้..แก่บุตรหลาน เมื่อไหร่มั่ง..ข้อแรก คือ เมื่อนั่ง”อยู่ในเรือน” หมายถึง รักพระเจ้าที่บ้าน คือในครอบครัวจะต้องมีการคุยเรื่องพระเจ้ากัน พ่อแม่ต้องสอนให้ลูกรักพระเจ้าทั้งเวลาสุข เวลาทุกข์ รักพระเจ้าไม่ว่าจะร่ำรวย ยากจน สบายดี หรือเจ็บป่วย หรือแม้แต่จะต้องล้มหายตายจากกัน แล้วก็ต้องสอนให้คนในครอบครัวสำแดงความรักของพระเจ้ากับคนที่บ้านก่อน ไม่ใช่เที่ยวไปรักนอกบ้านก่อน แล้วครอบครัวเอาไว้ทีหลัง..อันนี้ผิด
ข้อที่สอง บอกว่า ให้รักพระเจ้าเมื่อ”เดินอยู่ตามทาง” เพราะเมื่อรักพระเจ้าที่บ้านแล้ว เราก็ต้องสำแดงความรักของพระเจ้านอกบ้านด้วย ในความสัมพันธ์กับคนอื่น ทั้งที่โรงเรียน ที่ทำงาน บนถนน หนทางทาง คือ ไม่ว่าเราจะไปที่ไหน..ก็ต้องสำแดงความรักของพระเจ้าให้ปรากฎ..ผ่านการดำเนินชีวิตทั้งความคิด คำพูด และการกระทำ
ข้อที่สาม รักพระเจ้าในยาม”นอนลง”คือ เวลากลางคืน สำหรับคนฮีบรูคำว่า”นอนลง” หมายถึง เวลาหลับ เวลาพักสงบ..จากความวุ่นวาย ทั้งหลายทั้งปวง เวลาว่างเว้นจากศึกสงคราม เวลาสุขสบาย รวมถึงเวลาตายด้วย ก็อยู่ในความหมายของเวลานอนลงด้วยเหมือนกัน ข้อที่สี่ คือรักพระเจ้าในเวลาที่ ”ลุกขึ้น” คือ รักพระเจ้าตอนเช้า ทั้งเวลาตื่นนอน เวลาที่หายป่วย เวลามีสงคราม เวลาที่ต้องเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ รวมถึงเวลาที่ต้องลุกขึ้นยืนหยัดเพื่อความถูกต้อง ในเวลาที่พูดมาทั้งหมดนี้ พระคำภีร์บอกว่า..ให้เราพูดคำนั้น คือ เรารักพระเจ้าสุดจิต สุดใจ และสุดกำลัง
ดู ฉธบ. 6:8-9 “จงเอาถ้อยคำเหล่านี้พันไว้ที่มือของท่าน เป็นหมายสำคัญ” ..คือให้ความรักพระเจ้าควบคุมทุกอย่าง เพราะชาวฮีบรูถือว่า..มือเป็นตัวแทนการเคลื่อนไหวทุกอย่างของบุคคล เพราะฉะนั้น การให้เอาความรักพระเจ้าพันไว้ที่มือ จึงหมายถึง จงสำแดงความรักพระเจ้าให้ปรากฎในการกระทำทุกอย่างของเรา ทั้งอาชีพการงานและทุกกิจกรรมที่เรามีส่วนร่วม
ข้อต่อไปบอกว่า ”และจงจารึกไว้ที่หว่างคิ้วของท่าน..” เพราะความรักพระเจ้าจะควบคุมความทะเยอทะยาน และความอยากในสิ่งสารพัดของเรา ทำไมต้องที่หว่างคิ้ว เพราะ”คนยิว” เชื่อว่า นัยน์ตาเป็นสิ่งที่บอกให้รู้ว่า..คนๆนั้นเป็นยังไง เย่อหยิ่งหรือถ่อมใจ โลภมากโลภน้อย ใจแคบหรือใจกว้าง แต่อันนี้ไม่ได้บอกว่าจริงนะ..น้าตุ๊กแค่บอกให้รู้ถึงที่มาของคำเพื่อจะได้เข้าใจความหมายอย่างถูกต้อง คือถ้าคนของพระเจ้าเอาถ้อยคำอันเนี๊ย..ที่บอกให้รักพระเจ้าในทุกวิถีทางเนี่ย..จารึกไว้ที่หว่างคิ้ว (ถ้าคนไทยก็คงจะใช้คำว่า..จำใส่กะโหลก) คนๆนั้นก็จะสามรถควบคุมความโลภกับความทะเยอทะยานของตัวเองได้ แต่ถ้าไม่มีความรักพระเจ้าควบคุมไว้ที่หว่างคิ้ว..(คือในจิตสำนึก) คนเราก็จะเย่อหยิ่ง..ทำอะไรตามใจตัวเอง
ดู 2ทิโมธี1:12-13 เมื่อเราผูกพันกับพระเจ้าด้วยความรักสุดจิต สุดใจแล้ว เราก็จะแสวงหา พระเจ้าและจะได้พบ..ยิ่งแสวงหามากเท่าไหร่ ก็จะรู้จักพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น ยิ่งหายิ่งเจอ ยิ่งเจอยิ่งใช่ ยิ่งใช่ยิ่งเชื่อ เพราะเจอของจริง ยิ่งใหญ่จริง ความสมาร์ทของพระเจ้าจะชัดเจนขึ้นทุกวัน ข้อนี้ อ.เปาโลถึงบอกว่า..”เหตุฉะนั้น ข้าพเจ้าถึงทนทุกข์ลำบาก และไม่ละอาย เพราะข้าพเจ้ารู้จักพระองค์ที่ข้าพเจ้าได้เชื่อ..” เพราะนี่เป็นผลพวงจากการที่เราผูกพันกับพระเจ้าด้วยความรัก รักแล้วเลยอยากแสวงหาพระองค์ แสวงหาแล้วก็พบ..ว่าพระเจ้า..อัศจรรย์ที่สุด “..และข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าพระองค์ทรงสามารถรักษา ซึ่งข้าพเจ้าได้มอบไว้กับพระองค์ จนถึงวันพิพากษาได้” เพราะใครก็ตามที่ได้รู้จักพระเจ้า"ด้วยจิตวิญญาณที่แสวงหา"จริงๆแล้ว ..จะยอมจำนนและเชื่อฟังทุกราย เพราะพวกเขามั่นใจ..ว่าพระเจ้าเท่านั้นที่เป็นความจริง ยิ่งใหญ่สูงสุด และคือผู้เดียวที่สามารถพาเราไปสู่ความรอด (“เพราะข้ารู้จัก..พระองค์ที่ข้าเชื่อ..และเชื่อมั่นคงว่า..พระองค์ทรงฤทธา รักษาซึ่ง..มอบไว้แก่พระองค์ จนถึงกาล.ละ.วันนั้นได้” นี่คือบทเพลงแห่งชีวิตคริสเตียนที่ถ่ายทอดความจริงในความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้าไว้ได้อย่างชัดเจน)
ข้อที่ 13 อ.เปาโลถึงได้ย้ำกับเราว่า..”จงประพฤติตามแบบแห่งคำสอนที่ท่านได้ยินจากข้าพเจ้า ด้วยความเชื่อและความรักซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์” เพราะเมื่อเห็นชัดเจนแล้วว่า..พระเจ้าคือใคร ยิ่งใหญ่แค่ไหน ก็ขอให้เราดำเนินชีวิตตามถ้อยคำของพระองค์ด้วยความเชื่อฟัง และด้วยความรักในพระเยซูคริสต์
กลับมาที่ 1ซมอ.30:9-10 หลังจากได้ความมั่นใจจากพระเจ้าแล้ว..ว่าให้ตามพวกที่ปล้นไป แล้วดาวิดจะได้ทุกอย่างคืน ดาวิดเลยรีบตามไป ข้อที่ 9 บอกว่า..พอดาวิดกับพวกอีกหกร้อยคนไปถึงลำธารเบโสร์ คนส่วนนึงก็หมดแรง..ไปต่อไม่ไหว เพราะอย่าลืมว่าพวกเขาเพิ่งเดินทางไกลกลับมาจากอาเฟก..คิดว่าจะได้พักสบายตอนถึงบ้าน แต่พอมาถึง..ยังต้องไปต่อเพราะบ้านช่องถูกเผาจนวอดวาย..ลูกเมียก็ถูกจับตัวไป ในที่สุด..พอมาถึงลำธารเบโสร์พวกของดาวิดสองร้อยคนก็แบ็ตหมด ต้องเฝ้าสัมภาระอยู่ที่นั่น..แล้วปล่อยให้อีกสี่ร้อยคนไปต่อ
ดู 1ซมอ.30:11-12/13-14 ข้อนี้บอกว่า..พอดาวิดเดินทางต่อไป เขาก็เจอผู้ชายคนนึง นอนรอความตายอยู่บนพื้นกลางแจ้ง ด้วยความสงสาร..ดาวิดก็เลยให้เขากินอาหารแล้วก็ดื่มน้ำเพราะผู้ชายคนนี้ไม่ได้กินอะไรมาสามวันแล้ว พอมีแรงขึ้นหน่อย..ดาวิดก็ถามว่าเขาเป็นใคร ชายคนนี้บอกว่า..เขาเป็นคนอียิปต์ เป็นคนรับใช้ของคนอามาเลข..ที่เดินทางมาปล้นคนยูดาห์ กับศิกลาก (ได้เรื่องเลย..) แต่สามวันที่แล้วเขาป่วย..เจ้านายกลัวว่าเขาจะเป็นตัวถ่วงก็เลยทิ้งเขาไว้กลางทาง..กะจะให้ตายไปเอง
ดู1ซมอ.30:15 ข้อนี้ทำให้เรารู้ว่า..ตอนที่ออกตามมา ดาวิดไม่รู้เบาะแสของพวกที่ปล้นเขาเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำ..ว่าเป็นใครเป็นคนทำ แต่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้ทุกอย่าง..เพราะถ้าพระองค์พูดคำไหนไว้..พระองค์จะทำให้สำเร็จเสมอ ไม่เคยทิ้งกลางคัน
พอดาวิดรู้ว่าชายคนนี้..มากับพวกที่ปล้นบ้านเขา ดาวิดเลยถามว่า..ช่วยพาไปหน่อยได้มะ เพราะเขากำลังตามหาพวกนี้อยู่ แต่คนอียิปต์ขอให้ดาวิดสัญญาในนามพระเจ้าก่อนว่า.. ถ้าพาไปแล้ว..ดาวิดจะไม่ฆ่าเขาทิ้ง แล้วก็ไม่ส่งตัวเขาให้คนอามาเลขด้วย คืออยากช่วยอยู่หรอกเพราะดาวิดก็อุตส่าห์ช่วยชีวิตเขาไว้ แต่ก็อยากจะได้ความมั่นใจ..ว่าถ้าช่วยแล้ว เขาจะไม่ตาย..ไม่ว่าจะด้วยมือของดาวิดหรือเจ้านายเก่า
ดู1ซมอ.30:16-17 สรุปแล้วดาวิดก็ยอมตกลง แล้วพอชายอียิปต์พาดาวิดตามมาถึงกองปล้นของคนอามาเลข ภาพที่เห็น..ก็คือ กองปล้นของพวกอามาเลขกำลังฉลองกันใหญ่ เพราะปล้นทรัพย์สินมาได้เยอะ..ก็เล่นไปปล้นตอนไม่มีผู้ชายอยู่บ้านอ่ะ ก็กวาดเรียบสิ..เด็กกับผู้หญิงจะไปสู้ไรได้ ข้อที่17 บอกว่า..ดาวิดเลยฆ่าพวกอามาเลขตั้งแต่หัวค่ำไปจนถึงตอนเย็นของอีกวัน..หนีไปได้สี่ร้อยคน..ที่เหลือตายเรียบ เพราะคำว่า “เขาทั้งหลายแผ่กันอยู่เต็มดินไปหมด” หมายถึง ตอนที่ดาวิดตามไปเจอเนี่ย..พวกอามาเลขกำลังอยู่กันกระจัดกระจายไม่เป็นที่เป็นทาง..ดาวิดถึงเอาชนะได้ไม่ยาก เพราะมันมีศัพท์ที่เป็นแท็คซติกทางการรบคำนึงบอกว่า ”ตีให้แตกกระจายแล้วเข้าชิงชัย” เพราะฝ่ายที่แตกกระจายจะสู้ไม่ได้เพราะไม่สามารถจะรวมกำลังกัน ถึงกำลังคนของดาวิดจะน้อยกว่ามากแต่ก็ยังชนะ เพราะตอนที่มาถึง..พวกอามาเลขก็กระจัดกระจายกันอยู่แล้วแถมเมาจนหัวทิ่ม..เลยแพ้ยับเยิน
ดู1ซมอ.30:21-22 เวลาที่ต้องสูญเสียก็กล่าวโทษกัน..เวลาที่ได้บำเน็จก็เกี่ยงกันอีก (ไม่เคยพอใจไรง่ายๆหรอกมนุษย์) เพราะฉะนั้น บางทีถ้าขออะไรแล้วไม่ได้..ก็จงขอบพระคุณ เพราะถ้าได้แล้ว..เราอาจจะเป็นเหมือนคนของดาวิดก็ได้ (ใครไม่เป็นไม่รู้ แต่น้าตุ๊กเป็น..ผ่านมาแล้ว..บางทีเวลาไม่มีจะกินยังจะรักกันมากกว่า พอมีขึ้นมาหน่อย..ปัญหาชักจะเกิด..กลับไปอดเหมือนเดิมท่าจะดี..) ข้อนี้บอกว่า นอกจากดาวิดจะได้ทุกอย่างคืนมาทั้งหมด..แล้วเขายังริบของที่พวกอามาเลขปล้นคนอื่นมาด้วย คือ ของตัวเองก็ได้ครบ..แล้วยังมีแถมมาอีก..เยอะซะด้วย ข้อนี้ถึงบอกว่า..พวกที่ออกไปรบกับดาวิดเลยบอกว่า..เขาจะไม่แบ่งของที่ริบได้ให้กับพวกที่นั่งเฝ้าสำภาระอยู่ที่ลำธาร..จะคืนให้แต่ของที่ถูกปล้นไป ส่วนของที่ได้เกินมา..จะแบ่งให้เฉพาะคนที่ออกไปรบเท่านั้น ข้อที่22 บอกว่า..พระคำภีร์เรียกคนพวกนี้ว่า..”คนอธรรมและคนถ่อย” เดี๋ยวเราดูคำอธิบายในข้อต่อไป ดู1ซมอ.23-24 “ท่านอย่าทำอย่างนั้นกับสิ่งซึ่งพระเจ้าทรงมอบแก่เรา..” ดาวิดไม่ยอมให้พวกที่ออกไปรบ..ทำตามอย่างงั้น เขาบอกว่า..ของที่ริบมาได้เนี่ย..จริงๆแล้วไม่ใช่ฝีมือของพวกเขาเองนะ แต่เป็นพระคุณของพระเจ้าที่ประทานให้ทั้งชัยชนะและทรัพย์สิน แล้วทั้งหกร้อยคนเนี้ย..ก็เป็นพี่น้องกัน ถึงหน้าที่จะไม่เหมือนกัน..บางคนทำมาก..บางคนทำน้อย..แต่ยังไงทุกคนก็คือส่วนหนึ่งของทีม ถ้าสองร้อยคนนี้ไม่หมดแรงจนต้องนั่งเฝ้าสำภาระ..พวกเขาไม่มีทางได้เดินตัวปลิวออกไปรบหรอก..ต้องกระเตงสำภาระไปด้วย ดาวิดถึงบอกว่า..ทุกคนจะต้องได้ส่วนแบ่งเหมือนๆกัน จากนั้นดาวิดใช้กฎเกณฑ์อันนี้เป็นกฎหมายของอิสราเอลด้วย เรามาดูความหมายฝ่ายวิญญาณของเรื่องนี้กัน..
ดู1โครินธ์12:4-8/9-11 ที่คริสตจักรเมืองโครินธ์ในสมัยของอ.เปาโล จะมีการแบ่งพรรคแบ่งพวกกันมาก แล้วบางกลุ่มก็สำคัญผิดคิดว่าตัวเองเนี่ย..มีของประทานที่พิเศษกว่าคนอื่น อ.เปาโลเลยชี้ให้เห็นว่า..ของประทานทุกอย่างมาจากพระคุณของพระเจ้า แล้วไม่ว่าคุณจะมีของประทานเรื่องไหน..มันก็สำคัญและเป็นประโยชน์ต่อคริสตจักรเท่ากัน เพราะทุกคนเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พระกายหรือคริสตจักรทำงานได้อย่างสมบูรณ์ ใครก็ตามที่คิดว่า..ตัวเองพิเศษกว่าคนอื่นเพราะมีหน้าที่สำคัญในคริสตจักร..ก็ผิดแล้วล่ะ ส่วนใครที่คิดว่า..ชั้นไม่มีหน้าที่อะไรเลยในโบสถ์ เพราะฉะนั้น ชั้นคงไม่สำคัญสำหรับพระเจ้า..ก็ไม่ใช่ ไม่ว่าจะเป็น ศบ. นักร้อง นักดนตรี ครู หรือสมาชิกธรรมดาๆ สำหรับพระเจ้าแล้ว..ทุกคนสำคัญเท่ากัน ข้อนี้บอกว่า..เพราะมีพระวิญญาณองค์เดียวกัน เพราะงั้น พระเจ้าก็ประทานความรอดให้เหมือนกัน..ทุกคน ไม่ว่าเราจะมีหน้าที่อะไร ดาวิดก็ด้วย..เขาก็แบ่งของที่ริบได้ให้ทุกคนเท่ากัน ไม่ว่าจะออกไปรบหรือแค่นั่งเฝ้าสำภาระก็ตาม เพราะนั่นก็เป็นของที่พระเจ้าประทานให้เหมือนกัน
ดู1ซมอ.30:26 นอกจากดาวิดจะแบ่งของให้พี่น้องเท่าๆกันแล้ว เขายังเอาส่วนนึงไปทำให้เกิดผลมากกว่านั้น คือ เอาไปแบ่งให้พี่น้องอิสราเอลที่อยู่ตามหัวเมือง ข้อที่31 บอกว่า ”คือให้แก่ทุกตำบลที่ดาวิดกับคนของท่านเคยไปๆมาๆ” แสดงว่า ช่วงที่อยู่ศิกลากเนี้ย..ดาวิดติดต่อกับคนอิสราเอลตลอด ต่อไปเราจะได้เห็นว่าคนที่เคยได้ของกำนัลจากดาวิดเนี่ย..จะเป็นพวกแรกที่ต้อนรับเขาในฐานะกษัตริย์ของอิสราเอล
ในที่สุด..หนังสือ 1ซามูเอลก็ยังไม่จบ น้าตุ๊กขอยกตอนจบไปสัปดาห์หน้า เพราะมีความหมายฝ่ายวิญญาณที่ต้องอธิบายกันให้แตกในสัปดาห์นี้ ขอพระคุณแห่งความรักในองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราเติมเต็มในชีวิตของเด็กๆทุกคน ให้พวกเขาร้อนรนที่จะแสวงหาพระองค์และได้พบ...พบกันใหม่สัปดาห์หน้าค่ะ..ขอพระเจ้าอวยพร

วันอาทิตย์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2553

หนังสือ1ซามูเอล ครั้งที่18 อาทิตย์ที่20:6:2010

ดู1ซมอ.28:3-4/5-7 ข้อนี้บอกว่า..เมื่อซามูเอลสิ้นชีวิตแล้ว..ซาอูลก็กำจัดพวกคนทรง พ่อมด หมอผีในอิสราเอล..ฟังดูดีนะ เพราะพวกนี้เป็นสิ่งที่พระเจ้าเกลียดมาก ข้อที่4 บอกว่า..พวกฟิลิสเตียยกทัพมาอีกครั้ง คราวนี้มาตั้งฐานทัพที่ชูเนม คือ เลือกปักหลักบนพื้นราบ..รถรบจะได้ใช้งานสะดวก ข้อที่5 บอกว่า..พอซาอูลเห็นกองทัพมโหฬารของฟิลิสเตียยกมา..ก็กลัวจนตัวสั่น เพราะอิสราเอลไม่มีรถรบแล้วกองกำลังของฟิลิสเตียก็ใหญ่กว่ามาก หรือจะกังวล..เพราะว่าในกองทัพฟิลิสเตียอาจมีดาวิดรวมอยู่ด้วย..ซาอูลเลยอยู่ไม่ติด
และถึงแม้ซาอูลจะพยายามขอคำแนะนำจากพระเจ้าในทุกวิถีทาง แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบ พระเจ้าทรงอยู่..แต่พระองค์”นิ่งเฉย” (จุดนี้น้าตุ๊กสัมผัสได้ถึงถาวะที่สะเทือนใจสุดๆ เด็กๆลองคิดดู..ถ้าเราถูกพระเจ้าเพิกเฉย ไม่มีความอบอุ่นที่คุ้นเคย ไม่มีพระคำที่ก้องกังวาล ไม่มีสายตาที่มองเราจากข้างบน..ไม่ว่าจะแฝงด้วยรอยยิ้มหรือพระพิโรธ มีแต่ความว่างเปล่า..เราจะรู้สึกยังไง สำหรับน้าตุ๊ก..นี่คือที่สุดของความเจ็บปวด) คงเหมือนเราเล่นเน็ทแล้วพยายามจะเข้าไปออนไลน์กับพระเจ้า แต่เครือข่ายมันล่ม ทำไงก็ติดต่อไม่ได้..คอมมิวนิเคชั่น เบรคดาวน์ เราเชื่อว่า..เหตุผลนึงที่พระเจ้าไม่ตอบซาอูล..เพราะพระองค์รู้ว่าเขาไม่จริงใจ เด็กๆต้องไม่ลืมว่า..คำอธิฐานของเราจะเกิดผลก็ต่อเมื่อ
1.เราต้องมีความสัมพันธ์กับพระเจ้า แสวงหาและดำเนินกับพระองค์ทุกวันหรือทุกเวลา ไม่ใช่วันเว้นวัน วันเว้นเดือน หรือเว้นไปเป็นปี อย่างงี้ไม่ได้..
2.เราพึ่งพาพระองค์ในทุกวิถีทาง ไม่ใช่เลือกพึ่งพระองค์แค่บางอย่าง อันไหนอยากทำตามใจชอบก็ไม่ปรึกษา ไม่อธิฐาน..เหมือนซาอูล
และ3.เราพึ่งพาในสิทธิอำนาจของพระเจ้า ด้วยหัวใจที่ยอมจำนนและถวายเกียรติพระองค์ อย่างไม่แอบแฝงหรือแอบภาคภูมิว่าเป็นความดีหรือความเก่งของตัวเอง
เพราะฉะนั้น เราก็คงไม่แปลกใจแล้ว..ว่าทำไมพระเจ้า”ทรงนิ่งเฉย”ต่อซาอูล ก็เขาร้องหาพระเจ้าเฉพาะเวลาที่เขาต้องการ ถ้าทุกอย่างปกติดีซาอูลไม่เคยแสวงหาน้ำพระทัย แต่จะทำทุกอย่างตามใจตัวเอง พระเจ้าถึงไม่ตอบเขาในวันที่เขาทุกข์ยากที่สุดในชีวิต..ที่สุดจริงๆ เดี๋ยวเราจะได้เห็น..ว่าช่วงนี้คือจุดที่ต่ำสุดแล้วในชีวิตของซาอูล
ข้อที่7 บอกว่า..เมื่อไม่ได้รับความสนใจจากพระเจ้า ซาอูลหลงทางจนกู่ไม่กลับ เขาตัดสินใจต่อยอดความบาปขึ้นไปอีกด้วยการไปปรึกษาคนทรง ทั้งที่ตัวเองเพิ่งจะกวาดล้างไป..
ดู1ซมอ.28:8-9 ซาอูลต้องลงทุนปลอมตัวออกไปหาคนทรงตอนกลางคืน..เพื่อไม่ให้ใครจำได้ พอไปถึงซาอูลก็บอกคนทรง..ว่าติดต่อกับวิญญาณคนตายให้หน่อย ทีแรกคนทรงก็ไม่ยอมทำให้เพราะกลัวว่าเขาจะเป็นสายสืบของซาอูล ก็เหมือนที่ตำรวจไปล่อซื้อของผิดกฎหมายสมัยเนี้ย เพราะข้อที่9 หญิงคนทรงพูดว่า..”ทำไมท่านจึงมาวางกับดักชีวิตข้าพเจ้าเล่า”
ดู1ซมอ.28:10-12 พอคนทรงไม่ยอมทำให้เพราะกลัวจะถูกจับ..ข้อหาขัดขืนคำสั่งกษัตริย์ ซาอูลเลยให้สัญญาในนามของพระเจ้า..ว่าเธอจะไม่ถูกจับแน่นอน ตลกมะ..ทำได้ไงอ่ะ..รวมหัวกันทำสิ่งที่พระเจ้าเกลียดมาก แล้วยังมีหน้าให้สัญญาในนามพระเจ้าอีก (มั่วจริงๆ) แต่ก็ได้ผล..คนทรงถามว่าจะให้เรียกใคร ซาอูลบอกว่าเรียกซามูเอลมาให้ชั้น ( ถามเขาซักคำมะ..ว่าเขาอยากมารึเปล่า) แต่คนทรงก็จัดให้ตามที่สั่ง. คือเรียกวิญญาณของซามูเอลให้ ข้อที่12 บอกว่า พอซามูเอลปรากฎตัวขึ้นจริงๆ คนทรงก็ตกใจอย่างแรง..ทีแรกน้าตุ๊กไม่เข้าใจ..ว่าตกใจทำไม..ก็เรียกเขามาเอง แล้วพระคำภีร์ก็บอกไว้แค่นี้ เสร็จแล้วคิดออก..ว่าที่กลัว เพราะซามูเอลมาให้เห็นแบบจะๆ คือ ปกติคงไม่เคยเจอของจริง..แค่หลอกชาวบ้านเขาไปวันๆ หรืออย่างมากคงเห็นแค่ภาพลางๆลวงๆ หรือไม่ก็หลับตาแล้วเห็น..อะไรประมาณเนี้ย พอเจอของจริงเลยร้องเสียงหลง แล้วถึงรู้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าคือซาอูลเพราะเห็นซามูเอลแล้วจำได้.
ดู1ซมอ.13-14 ซาอูลปลอบใจคนทรงว่าไม่ต้องกลัวๆ ไหน..บอกมาซิว่าเห็นอะไร คนทรงบอกว่าวิญญาณที่เห็นเป็น”เทพเจ้าองค์หนึ่ง” พระคำภีร์ฉบับฮีบรูใช้คำว่า”เอโลฮิม” ฉบับภาษากรีกใช้คำว่า”เธอุส” แต่แปลเหมือนกันคือหมายถึง”เทพ หรือ พระ”...แล้วซาอูลก็ถามคนทรงว่าเทพที่เห็นเนี่ย..รูปร่างหน้าตายังไง คนทรงก็อธิบายลักษณะให้ฟังแล้วบอกด้วยว่า..เทพองค์นี้เป็นชายแก่ สวมเสื้อคลุม ซาอูลฟังแล้วรู้ทันทีว่าเป็นซามูเอลจริงๆ ก็เลยก้มลงกราบถึงดิน
ดู1ซมอ.28:15 ซามูเอลถามซาอูลว่า..”ท่านรบกวนเราด้วยเรียกเราขึ้นมาทำไม” เหมือนจะอารมณ์เสีย..จะเพราะว่าถูกรบกวนหรืออยากตำหนิซาอูลก็ไม่รู้..ที่เขาทำบาปต่อพระเจ้าอีกแล้ว ส่วนซาอูลก็คร่ำครวญ..ว่าตอนเนี้ย..เขาทุกข์อย่างหนักเลย เพราะพวกฟิลิสเตียจะมาโจมตี “แล้วพระเจ้าก็ทิ้งเขาแล้ว” เขาเรียกหาพระองค์ทุกวิถีทาง แต่พระองค์ทรงนิ่งเฉย..ไม่ตอบเขาซักคำ เขาไม่รู้จะทำไง..ก็เลยต้องเรียกซามูเอลขึ้นมา ไหนๆก็มาแล้ว..บอกหน่อยว่าเขาควรทำยังไง..
ดู1ซมอ.28:16-17 ซามูเอลไม่ได้สนใจข้ออ้างของซาอูล แต่กลับพูดให้คิด..ว่าคุณกำลังทำสิ่งที่ไม่ฉลาดเท่าไหร่ ซาอูลคิดได้ไง..ว่าซามูเอลจะช่วยเขาได้ในขณะที่พระเจ้าทรงเพิกเฉย.. เพราะพระเจ้า คือ สิทธิอำนาจเด็ดขาดและยิ่งใหญ่สูงสุด ไม่เหมือนพระอื่น..ที่เขาไปไหว้กันเพื่อขอนั่นขอนี่ ขอเจ้านี้ไม่ได้ก็ไปขอเจ้าอื่น แต่พระเจ้าของเรา..ไม่ใช่ ถ้าพระองค์ปฏิเสธใคร..รับรองไม่มีหน้าไหนช่วยได้ทั้งนั้น ซาอูลทำอย่างงี้ก็ไม่ต่างกับบาลาอัม..ที่พยายามจะแช่งคนอิสราเอล..ในขณะที่พระเจ้าอวยพรพวกเขา เพราะอยากได้สินบนของบาลาค (เด็กๆจำเรื่องบาลาค กับ บาลาอัม ในหนังสือกันดารวิถีได้มั๊ย)
ซามูเอลไม่มีอะไรจะบอกซาอูล นอกเหนือไปจากสิ่งที่พระเจ้าเคยบอกไว้..เพราะฉะนั้น ไหนๆมาแล้วขอย้ำอีกทีละกัน..ว่าพระเจ้าจะทรงฉีกอาณาจักรของท่าน..และไปมอบให้คนอื่นแทน ไม่ต้องบอกว่าใครเพราะเรารู้ดี..ซาอูลก็รู้ดีและพยายามจะหนีความจริงข้อนี้มาทั้งชีวิต..
ดู1ซมอ.28:18-19 “เพราะท่านมิได้เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า..เรื่องชาวอามาเลข..” หวังว่าจะจำกันได้นะ..ตอนที่พระเจ้าสั่งให้ซาอูลกำจัดชาวอามาเลข “ให้สิ้นซาก” แต่ซาอูลก็ยังไว้ชีวิตก.อากัก กับ ฝูงสัตว์ที่เป็นเนื้อเกรดเอ..เอาไว้กินเอง ถึงปากจะอ้างความชอบธรรม..ว่าเอาไว้ถวายพระเจ้า..แต่ใครๆก็รู้ว่าไม่จริง ให้เราย้อนไปทบทวน..หนึ่งในประเด็นสำคัญที่สุดในพระคำภีร์กันอีกครั้ง เปิดไปดู1ซมอ.15:22 จริงๆแล้วซาอูลไม่ได้กบฎแค่ครั้งเดียว..แต่เรื่องชาวอามาเลข..มันเป็นตัวอย่างชัดเจนของความไม่เชื่อฟัง พระคำภีร์ข้อนี้..เด็กๆต้องจำไว้ให้แม่น..อย่างพวกเราพระเยซูสอนว่า ”รักพระเจ้าสิ้นสุดจิตใจ รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง” เราก็ต้องเชื่อฟังอย่างสัตย์ซื่อ ไม่ใช่บอกว่าเชื่อ..แต่บางทีไม่ได้อย่างใจ...ก็เลยอยากไปหาหมอดู อยากลองไปไหว้เจ้านั้นเจ้านี้..แล้วคิดว่าไม่เป็นไรเพราะชั้นถวายเยอะ ชั้นช่วยงานโบสถ์เต็มที่ ชั้นอธิฐานเก่งก็น่าจะโอเค..ไม่โอเคหรอก เพราะพระเจ้าไม่โปรดในเครื่องถวายใดๆมากไปกว่า..ความเชื่อฟังของเรา สู้ไม่ต้องทำอะไรเลยแต่เทใจรักพระเจ้าอย่างมั่นคง..ยังจะเวิร์คกว่า
ข้อที่19 ซามูเอลแถมท้ายให้อีก..ว่าพรุ่งนี้อิสราเอลจะแพ้พวกฟิลิสเตีย “ตัวท่านกับลูกจะอยู่กับเรา..”หมายความว่าไง..you กับลูกจะตายในวันรุ่งขึ้น ซาอูลจะรู้สึกมะ..ว่าไม่น่าไปเรียกเขามาเลย..ช่วยอะไรก็ไม่ได้..ยังมาบอกวันตายให้รู้อีก
ดู1ซมอ.28:20-21/22-23 พอรู้ชะตาตัวเองซาอูลถึงกับเข่าอ่อน..ทรุดลงไปนอนกับพื้นส่วนนึงก็เพราะไม่ได้กินอะไรเลยมาวันกับคืนเต็มๆ แล้วก็เหนื่อยกับการเดินทางด้วย พอมาเจอเรื่องช็อกสุดขีดเลยล้มทั้งยืน อาการคงน่าเป็นห่วง..คนทรงเลยบอกซาอูล..ว่าให้เห็นแก่ที่เธอยอมทำตามคำขอของซาอูล ด้วยการอนุญาตให้เธอทำอาหารถวายซักครั้ง อย่างน้อยจะได้มีแรงเดินทาง แต่ซาอูลปฏิเสธเพราะกินอะไรไม่ลง มหาดเล็กกับคนทรงต้องช่วยกันเกลี้ยกล่อมซาอูลถึงยอมตกลง..คนทรงก็จัดแจงฆ่าลูกวัวแล้วก็นวดแป้งทำขนมปังไร้เชื้อถวาย..นับเป็นอาหารค่ำมื้อสุดท้ายของกษัตริย์ซาอูล พอเสวยเสร็จ..ซาอูลก็เสด็จกลับไปในคืนนั้น
ดู1ซมอ.29:1-3 จำได้มะ..ว่าพระคำภีร์ยังเล่าเรื่องที่อาคีชชวนดาวิดไปรบกับอิสราเอลค้างไว้ แล้วเอาเรื่องซาอูลไปหาคนทรงมาขั้น เพราะเดี๋ยวตอนท้ายสองเรื่องนี้จะมีบางอย่างเชื่อมโยงกันอยู่ แต่เดี๋ยวค่อยว่ากัน.. บทที่29 นี้จะเป็นเรื่องที่ต่อจากตอนต้นของบทที่28 ข้อที่1 บอกว่า..พวกฟิลิสเตียตั้งฐานทัพอยู่ที่อาเฟก แล้วดูเหมือนว่าดาวิดกับคนของเขาจะอยู่กองหลังสุดกับก.อาคีช เพราะตอนนี้เขามีตำแหน่งเป็นองครักษ์ของกษัตริย์ฟิลิสเตีย แต่พอแม่ทัพของฟิลิสเตียเดินมาเห็นดาวิด เขาก็ถามอาคีชว่า..พวกฮีบรูมาทำไรที่นี่ อย่างนึงก็เพราะกองหลังถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญของกองทัพ พวกผู้นำฟิลิสเตียเลยรู้สึกไม่พอใจอย่างมากที่เห็นดาวิดกับพวกได้อยู่ในจุดนั้น อาคีชบอกแม่ทัพว่า..นี่ดาวิดคนของก.ซาอูลไง เขาอยู่กับเรามานานแล้ว คืออาคีชพยายามจะยืนยัน..ว่าดาวิดไว้ใจได้
ดู1ซมอ.29:4-5 พวกผู้นำฟิลิสเตียรู้สึกโกรธ..ทำไมอาคีชถึงไว้ใจดาวิดขนาดนี้ มองไม่ออกหรือไงว่าหมอนี่เป็นตัวอันตราย..ว่าแล้วพวกเขาเลยขอให้อาคีชส่งดาวิดกลับไปที่ศิกลาก จะได้อยู่เป็นที่เป็นทาง..อย่ามาป้วนเปี้ยนแถวนี้ เพราะอาคีชต้องคิดให้ดี..ว่าคนที่ถูกเนรเทศเนี่ย..เขาจะทำอะไรเพื่อให้เจ้านายยอมยกโทษให้ เขาก็ต้องหักหลังเรา..เอาใจเจ้านายเค้า ข้อที่5 บอกว่า..พวกผู้นำเลยเตือนสติอาคีชอีกครั้ง..ว่าดาวิดคนนี้ไม่ใช่เหรอ..ที่พวกอิสราเอลเขาร้องเพลงว่า..ซาอูลฆ่าคนเป็นพัน ดาวิดฆ่าคนเป็นหมื่น..แล้วอาคีชลืมความนิยมที่คนอิสราเอลมีต่อดาวิดได้ยังไง คนที่ทำให้ประชาชนรักใคร่ได้ขนาดเนี้ย..ไม่ธรรมดาหรอก
ดู1ซมอ.29:7-8 สรุปแล้ว อาคีชต้องยอมรับข้อเรียกร้องของผู้นำคนอื่นๆ เขาบอกดาวิดว่า.. เขาเชื่อใจดาวิดร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วใจจริงก็อยากให้ดาวิดไปรบด้วย แต่คงจะทำอย่างงั้นไม่ได้ เพราะผู้นำคนอื่นเขาไม่ยอม แล้วอาคีชก็ขอให้ดาวิดยอมกลับไปเงียบๆละกัน เขาจะได้ไม่ผิดใจกับผู้นำคนอื่น น้าตุ๊กว่า..ดาวิดคงดีใจแทบสิ้นสติที่ได้ยินอาคีชพูดอย่างงี้ เพราะกำลังมืดแปดด้านกลืนไม่เข้าคายไม่ออก จะไม่รบก็ไม่ได้เพราะสร้างภาพกับอาคีชไว้เยอะ ทำจนเขาเชื่อว่าตัวเองอยู่ฝ่ายเขา..เป็นศัตรูกับอิสราเอล แต่ถ้าต้องไปรบยิ่งแย่กว่าเพราะต้องสู้กับพี่น้องตัวเอง กษัตริย์ที่พระเจ้าเจิมไว้ แล้วยังโยนาธานเพื่อนรักอีก เพราะฉะนั้น พอได้ยินอาคีชพูดอย่างงี้ดาวิดต้องเนื้อเต้นแน่นอน แต่ยังฟอร์มจัด เพราะข้อที่8 ดาวิดยังอุตส่าห์กัดฟันพูด..ว่าเขาทำไรผิด อาคีชถึงถอดใจไม่ยอมให้เขาไปรบด้วย..(เนียนมากค่ะ..ดาวิด)
ดู1ซมอ.29:9-10 อาคีชยังปลื้มดาวิดไม่เลิก ถึงกะออกปากชมว่าดาวิดไม่ได้ผิดอะไร..แถมเลิศเลอเหมือนทูตสวรรค์ของพระเจ้า แต่อย่าไปรบเลยนะเพราะคนอื่นเขาไม่ยอม แล้วอาคีชก็ขอให้ดาวิดกับคนของเขากลับไปศิกลากแต่เช้ามืด ข้อที่11 บอกว่า ดาวิดกับคนของเขาเลยเดินตัวลอยออกจากกองทัพกลับไปศิกลากแต่เช้ามืด ปัญหาที่หนักอกมานานก็ถูกยกออกไปซะที นี่คือการช่วยกู้จากพระเจ้า ในรูปแบบที่มนุษย์คิดไม่ถึง เรื่องนี้ทำให้เรารู้ว่า..พระเจ้าไม่แค่เตรียมสำรับให้เราต่อหน้าต่อตาศัตรู แต่พระเจ้ายังใช้มือของศัตรูเตรียมสำรับให้พวกเราด้วย..
แต่มันมีความจริงอยู่ข้อนึง คือ ทุกคนต้องรับผลของความบาปที่ตัวเองทำ..เสมอ ดาวิดพลาดตั้งแต่ที่เขาเลือกมาอยู่กับอาคีช อาจเป็นเพราะความอ่อนแอ เหนื่อยล้า..ที่ถูกซาอูลตามล่า ทำให้ดาวิดถอดใจถึงขนาดยอมทิ้งแผ่นดินอิสราเอล..ไปอาศัยใบบุญของคนต่างชาติ เขาเลือกทำอย่างงี้ทั้งที่รู้อยู่..ว่ามันไม่ใช่น้ำพระทัยพระเจ้า ถ้าเราจำได้..ตอนที่เขาไปซ่อนตัวอยู่ที่โมอับ พระเจ้ายังส่งผู้เผยพระวจนะ”กาด”ไปบอกให้ดาวิดกลับไปอยู่ที่อิสราเอล..แล้วตอนนั้นดาวิดก็เชื่อ..แต่อยู่ดีๆในบทที่27 ดาวิดก็รู้สึกไม่ปลอดภัย..ความวางใจในพระเจ้าไม่รู้หายไปไหนหมด ถึงได้ตัดสินใจทิ้งแผ่นดินอิสราเอล..หันไปพึ่งพากษัตริย์ของต่างชาติแทน ช่วงแรกดาวิดคงรู้สึกดีเพราะได้อยู่อย่างอิสระ ได้ปล้นฆ่าศัตรูของอิสราเอลจนตัวเองอยู่ดีกินดี แถมยังปลอดภัยอยู่ในกำบังของฟิลิสเตีย แต่ไม่นานดาวิดเหมือนติดกับตัวเองเพราะกษัตริย์อาคีชโปรดปรานเขามากเกินเหตุ..จนเขาเกือบได้รับเกียรติให้ต้องไปรบกับพี่น้องตัวเอง แต่ดาวิดก็รอดจากสถานการณ์นั้นมาได้อย่างน่าทึ่ง เพราะพระเจ้าไม่มีแผนจะลงโทษเขาด้วยวิธีนั้น..
ดู1ซมอ.30:1-2 ดาวิดกลับมาที่ศิกลากด้วยความปลอดโปร่งโล่งใจ เพราะไม่ต้องไปรบกับพี่น้องตัวเอง แล้วก็ไม่ผิดใจกับอาคีชก.ฟิลิสเตียด้วย แต่พอมาถึงบ้านเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ภาพที่เห็น คือ เมืองทั้งเมืองถูกเผาพังพินาศ ไม่มีสิ่งมีชีวิตหลงเหลืออยู่ แล้วก็ไม่มีซากศพให้เห็นด้วย เพราะข้อนี้ บอกว่า..คนอามาเลขถือโอกาสช่วงที่ฟิลิสเตียกำลังรวบรวมกำลังพล เข้ามาปล้นชาวบ้านที่ไม่มีทางสู้ แล้วหนึ่งในเมืองนั้นคือศิกลากบ้านของดาวิดกับคนของเขา นอกจากจะปล้นเอาทรัพย์สินกับเผาบ้านเรือนจนวอดวายแล้ว พวกอามาเลขยังกวาดต้อนลูกเมียของพวกเขาไปเป็นเชลยด้วย
ดู1ซมอ.30:5-6 ข้อที่5บอกว่า..ภรรยาสองคนของดาวิดก็ถูกพาตัวไปเป็นเชลยด้วยหลังจากที่ทุกคนร้องไห้คร่ำครวญกันจนน้ำตาเหือดหายไปแล้ว คนของดาวิดก็เริ่มจับต้นชนปลาย แล้วสุดท้ายก็โทษว่าเป็นความผิดของดาวิด..ตั้งแต่ที่พาพวกเขาออกจากเมืองกัท.ให้มาอยู่ที่ศิกลาก แล้วออกปล้นศัตรูของอิสราเอล..ที่หนึ่งในนั้นคือพวกอามาเลข แล้วยังไปวุ่นวายกับก.อาคีช จะดีหรือไม่ดีไม่รู้..แต่มันทำให้พวกเขาต้องทิ้งบ้านไปอยู่ในกองทัพกับพวกฟิลิสเตีย ถึงที่สุดจะได้กลับมาบ้านแต่เหมือนจะสายเกินไป นิสัยชอบหาแพะรับบาปของมนุษย์ก็เลยผุดขึ้นมา ข้อที่6 บอกว่า..คนของดาวิดลงความเห็นว่า..พวกเขาน่าจะเอาหินขว้างดาวิดให้ตาย
วันนี้ฝากไว้แค่นี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวคราวหน้าจะเป็นตอนสุดท้ายของหนังสือ1ซามูเอลแล้ว เราจะมาวิเคราะห์กันถึงความแตกต่างของซาอูลกับดาวิด ทั้งที่ตอนนี้สภาพของดาวิดก็ย่ำแย่แพ้ซาอูลไปหน่อยเดียว แล้วความต่างของสองคนนี้..อยู่ตรงไหน สูตรสำเร็จในการดำเนินกับพระเจ้า..ไม่มีค่ะ มีแต่พระลักษณะอันเที่ยงธรรม สัตย์ซื่อของพระองค์เท่านั้นที่พวกเราต้องแสวงหาและยึดให้มั่น..
จนกว่าจะพบกันใหม่ พระเจ้าอวยพรค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2553

หนังสือ1ซามูเอล ครั้งที่17 อาทิตย์ที่13:6:2010

ดู1ซมอ.13-15 หลังจากที่คว้าเอาหอกกับเหยือกน้ำของก.ซาอูลไปแล้ว ดาวิด กับอาบีชัยก็ย่องออกจากวงล้อมของทหารที่กำลังหลับสนิท แต่พอหลุดจากกองทหารไป..ดาวิดกับอาบีชัยก็เดินผ่านที่ราบแล้วก็เลยขึ้นไปบนภูเขา พอขึ้นถึงยอดเขาดาวิดก็ตะโกนเรียกอับเนอร์อย่างดัง จริงๆคงตั้งใจจะปลุกให้ตื่นทุกคน แต่เขาเจาะจงไปที่อับเนอร์ แล้วอับเนอร์ก็จำเสียงดาวิดไม่ได้..ถึงตะโกนถามกลับไปว่า..ใครมาร้องเรียกพระราชา ดาวิดตอบกลับไป..ว่าท่านไม่ใช่ลูกผู้ชาย..เป็นองครักษ์แต่ปกป้องพระราชาไม่ได้ เพราะเมื่อกี๊อ่ะ..มีคนเข้าถึงตัวพระราชาแล้วก็เกือบจะฆ่าท่านไปแล้ว (แต่ you หลับอุตุไม่รู้เรื่อง) จริงๆที่ดาวิดพูดก็ถูกทุกอย่าง..เพราะตอนที่บุกเข้าไปถึงตัวซาอูลเนี่ย..อาบีชัยจะฆ่าซาอูลจริงๆ แต่เขาก็ต้องขออนุญาตดาวิดก่อน ก็เลยไม่ได้ทำ..เพราะดาวิดไม่อนุญาต แล้วอย่างงี้จะเรียกว่าใครเป็นคนปกป้องพระราชา..ใช่อับเนอร์มะ..ใช่ทหารสามพันคนรึเปล่า ไม่ใช่เลยแต่เป็น..ดาวิด
ดู1ซมอ.26:16 ดาวิดชี้ให้ทหารทั้งกองพันเห็นว่า..ทุกคนบกพร่องในหน้าที่ ไร้ความสามารถที่จะปกป้องชีวิตของกษัตริย์ แล้วความผิดพลาดนี้มีโทษถึง”ตาย” ไม่ใช่แค่อับเนอร์คนเดียวแต่คือทหารทั้งกองพัน เพราะตอนที่กษัตริย์ต้องอยู่ในอันตราย..ทหารสามพันคนกับอับเนอร์ที่นอนอยู่ข้างๆเนี่ย..ช่วยอะไรก็ไม่ได้ ถ้าดาวิดไม่ห้ามอาบีชัยไว้..ป่านนี้ซาอูลตายไปแล้ว เพราะฉะนั้น ดาวิดไม่ได้พูดเล่น..ความผิดนี้ ถ้าจะพิพากษากันอย่างตรงไปตรงมา อับเนอร์กับทหารทั้งสามพัน..ต้องถูกประหารชีวิตทั้งหมด
มาถึงจุดนี้ เราถึงเข้าใจ..ว่าดาวิดฉลาดมากกกก เขาวางแผนไว้ตั้งแต่แรก.ตอนที่ขออาสาสมัคร..ดาวิดรู้อยู่ว่าอาบีชัยต้องเสนอตัว แล้วรู้ด้วย..ว่าถ้าอาบีชัยเข้าถึงตัวซาอูลแล้ว..จะอยากฆ่าซาอูลทันทีแต่ดาวิดก็ยังยอมให้อาบีชัยตามมา จะได้เป็นไปตามแผนที่คิดไว้..เขาจะได้พิสูจน์ตัวเองได้อย่างชัดเจน
ดู1ซมอ.26:17-18 ซาอูลคงได้ยินเสียงดาวิดกับอับเนอร์ตะโกนคุยกัน อับเนอร์จำเสียงดาวิดไม่ได้..แต่ซาอูลจำแม่น เลยร้องถามออกไปว่า”ดาวิดลูกพ่อ นั่นเสียงเจ้าใช่มั๊ย” ดาวิดตอบว่า..ใช่ นี่ข้าพระบาทเอง ทำไมพระราชาถึงยังตามล่าเขาไม่เลิก..เขาทำผิดอะไร (ถามจนเบื่อแล้วเนี่ย) จริงๆวันนี้..เขาก็พิสูจน์ให้เห็นอีกชั้นนึงแล้ว..ว่าเขาซื่อสัตย์กับซาอูลแค่ไหน เพราะในเวลาที่ทหารทั้งกองทัพปกป้องซาอูลไม่ได้ เขาเองคือคนที่ช่วยชีวิตซาอูลไว้..แล้วซาอูลมาตามล่าเขาทำไม...
ดู1ซมอ.26:19 ดาวิดพูดกับซาอูลว่า..ถ้าเขาทำผิดแล้วพระเจ้าคือผู้เร้าใจให้ซาอูลมาจัดการเขา ก็ขอให้แจ้งข้อหามา..ว่าผิดอะไร เขาจะได้ไปถวายเครื่องบูชาเพื่อลบความบาป..ให้เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า แล้วซาอูลจะได้ไม่ต้องตามล่าเขาอีก..
แต่ถ้าซาอูลอยากกำจัดเขาเพราะเชื่อคนอื่น..ที่ยุยงว่าดาวิดเป็นตัวอันตราย ก็ไม่ใช่เขาแล้วที่สมควรต้องรับโทษ แต่เป็นคนที่ใส่ร้ายต่างหากที่จะถูกพระเจ้าลงโทษเอง ข้อที่19 นี้บอกว่า..”เพราะเขาได้ขับไล่ข้าพระบาทออกไปในวันนี้มิให้ได้ส่วนมรดกของพระเจ้า โดยกล่าวว่า..จงไปปรนนิบัติพระอื่น” ดาวิดกำลังบอกว่าคนที่ใส่ร้ายเขาต่างหากที่มีความผิด เพราะมีส่วนทำให้ซาอูลตามล่าเขา..จนต้อง”กระเด็นไปอยู่นอกประเทศหลายครั้ง” แล้วการบีบบังคับเชื้อสายอิสราเอลแท้ให้จากบ้านเกิดไป ในสมัยนั้นมันถือเป็นการผลักดันให้เขาไปไหว้พระอื่น เรามาดูตัวอย่างที่สนับสนุนความจริงในข้อนี้กัน..
เปิดไปดูนรธ.1:15-16 ข้อนี้นาโอมีบอกรูธว่า..”พี่สะใภ้ของเจ้ากลับไปหาชนชาติของเขา(คือ โมอับ) และหาพระของเขาแล้ว” เด็กๆสังเกตุดู..ว่าเขาพูดเหมือนมันเป็นเรื่องเดียวกัน เพราะเมื่อรูธบอกแม่สามีว่า..”แม่ไปไหน ชั้นไปด้วย อยู่ไหน..อยู่ด้วย ญาติแม่จะเป็นญาติชั้น ยิ่งไปกว่านั้น “พระเจ้าของแม่จะเป็นพระเจ้าของชั้นด้วย” เพราะรูธเลือกจะอยู่ที่อิสราเอลกับนาโอมี เธอจึงยินดีจะปรนนิบัติพระเจ้าของอิสราเอลด้วย ส่วนพี่สะใภ้ที่อยู่โมอับก็ปรนนิบัติพระของโมอับไป คล้ายๆจะเป็นวิถีปฏิบัติ..ว่าอยู่ที่ไหนก็ไหว้พระของที่นั่น ดาวิดถึงบอกว่า..คนที่ใส่ร้ายเขาจะต้องมีความผิดและถูกพิพากษา ไม่ใช่แค่ข้อหาเป็นพยานเท็จหรือพยายามฆ่าผู้บริสุทธิ์ แต่เพราะมีส่วนผลักดันให้เขาไปไหว้พระอื่นและถูกตัดสิทธิ์จากดินแดนที่เป็นมรดกของพระเจ้า
ทำไมการอยู่นอกประเทศอิสราเอลสมัยนั้น ถึงมีผลกระทบมากมายต่อความเชื่อของพวกเขา...ถ้าต้องอยู่นอกอิสราเอลแต่ใจอยู่กับพระเจ้า เขาจะปรนนิบัติหรือเชื่อพระเจ้าได้มั๊ย..คำตอบคือ..ก็อาจจะได้ แต่มันจะมีข้อจำกัดของแต่ละชนชาติ..ที่ทำให้เป็นอุปสรรคในการที่จะดำเนินกับพระเจ้า ไม่เหมือนอยู่ในอิสราเอล..เพราะอิสราเอลหรือคานาอันเป็นแผ่นดินที่พระเจ้าเลือกไว้ ถือเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์และเป็นแหล่งพระพรของสมัยนั้น..เรามาเรียนเรื่องนี้กันนิดนึง
ดูปฐก.28:10-13/16-19 เมื่อยาโคบเอาสิทธิบุตรหัวปีไปจากเอซาว เขาก็ต้องออกจากคานาอันไป แต่ก่อนหน้านั้นพระเจ้าทรงสื่อกับยาโคบถึงเรื่องที่สำคัญมาก พระองค์บันดาลให้เขาฝัน ข้อที่12 ในฝันยาโคบเห็นบันไดอันนึงตั้งขึ้นบนแผ่นดินโลก ยอดสูงถึงฟ้าสวรรค์แล้วทูตสวรรค์ก็ขึ้นลงอยู่ที่บันไดนั้น ข้อที่13 บอกว่า”พระเจ้าประทับยืนอยู่เหนือบันไดนั้น และตรัสว่า..เราคือเยโฮวาห์พระเจ้าของอับราฮัม เมื่อยาโคบตื่นขึ้นเขาพูดว่า..”พระเจ้าทรงสถิต ณ ที่นี้ แน่ทีเดียวแต่ข้าหารู้ไม่..สถานที่นี้ศักดิ์สิทธิ์นัก มิใช่อื่นไกล”เป็นที่ประทับของพระเจ้า และประตูฟ้าสวรรค์”...พระเจ้ากำลังบอกกับยาโคบว่า..ที่ๆเขากำลังนอนอยู่ในขณะนั้น..เป็นดินแดนที่เป็นจุดเชื่อมระหว่างโลกกับสวรรค์ และเป็นที่รองพระบาทของพระเจ้า ข้อที่18 บอกว่า ยาโคบเลยลุกขึ้นแต่เช้ามืดเอาก้อนหินตั้งขึ้นเป็นเสาศักดิ์สิทธิ์ เทน้ำมันบนยอดเสานั้น และเรียกสถานที่นั้นว่า”เบธเอล” (อยู่ที่ไหน)..ก็คานาอันหรืออิสราเอลที่ปัจจุบันเรียกกันว่าดินแดนปาเลสไตน์นี่แหละ เข้าใจรึยัง..ว่าทำไมถึงแย่งกันนัก รบกันไม่เลิกซักที..ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันเพราะอยากครอบครองดินแดนนี้ เพราะเป็นที่ประทับของพระเจ้าแล้วประตูหรือจุดเชื่อมกับสวรรค์ก็อยู่ตรงนั้น (อยู่ตรงนั้นจริงๆ) ถ้าต้องใช้ประตูนั้นเพื่อเข้าแผ่นดินสวรรค์..เราก็ต้องไปรบกะเขาด้วยสิ เราต้องย้ายบ้านไปอยู่อิสราเอลด้วยรึเปล่า..ไม่ใช่เลย
เปิดไปดูยอห์น1:50-51 เรื่องนี้ก็คือ นาธานาเอลเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า เพราะพระองค์บอกเขาว่า..พระองค์เห็นเขานั่งอยู่ใต้ต้นมะเดื่อ(คือเห็นทั้งที่อยู่คนละที่) แต่พระเยซูบอกเขาว่า..ท่านเชื่อเพราะเรื่องแค่นี้เหรอ ท่านจะได้เห็นเรื่องที่ใหญ่กว่านั้นหลายเท่า คือ “ท่านจะได้เห็นท้องฟ้าเบิกออก และบรรดาทูตสวรรค์ของพระเจ้าขึ้นและลงอยู่เหนือบุตรมนุษย์” พระเยซูบอกว่าทุกคนจะได้เห็นประตูแห่งสวรรค์เปิดออก แล้วทูตสวรรค์ก็ขึ้นลงอยู่เหนือ”บุตรมนุษย์” เหมือนที่ยาโคบเห็น..ภาพเดียวกัน..ความหมายเดียวกันคือทางที่เป็นจุดเชื่อมระหว่างโลกกับสวรรค์ แต่ข้อนี้พระเยซูทรงบอกว่า..ทางนั้นหรือจุดเชื่อมต่อนั้นอยู่เหนือ”บุตรมนุษย์” คือ พระองค์เอง..พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา (ไม่ใช่คานาอัน อิสราเอลหรือปาเลสไตน์) แต่พระเยซูคือหนทางที่เชื่อมสวรรค์และโลก พระองค์คือทางนั้น..ทางเดียวที่คนบาปบนโลกจะสามารถเดินผ่านเพื่อเข้าแผ่นดินสวรรค์
เพราะฉะนั้น สิ่งที่ยาโคบฝัน..แท้จริงแล้วเป็นหมายสำคัญจากพระเจ้า..ที่เล็งถึงพระเยซูคริสต์..เพราะพระองค์ทรงเกิดที่ไหน..ที่ปาเลสไตน์นี่ไง ดังนั้นประตูแห่งสวรรค์ที่พระเจ้าบอกไว้แท้จริงแล้วหมายถึง..พระเยซูคริสต์ที่จะบังเกิดบนแผ่นดินนั้น ส่วนคานาอันหรืออิสราเอลเป็นแค่ภาพจำลอง เพราะถ้าเป็นของจริงเด็กๆว่า..จะมีกี่คนที่ได้เข้าแผ่นดินสวรรค์ (น้อยมาก) แต่ที่เห็นยังแย่งกันอยู่ก็เพราะ..คนกลุ่มนั้นเขาไม่เชื่อพระเยซู ถึงได้ยึดติดอยู่กับดินแดนศักดิ์สิทธิ์หรือปาเลสไตน์..(ก็คงต้องแย่งชิงกันต่อไป)
กลับมาที่หนังสือ1ซมอ.26:20 ดาวิดขอร้องซาอูลอย่าให้โลหิตของเขาต้องตกในต่างแดน ที่ต้องไกลจากพระพักตร์พระเจ้า..เพราะเป็นเรื่องที่น่าเศร้าและทำร้ายจิตใจที่สุดสำหรับเชื้อสายของอิสราเอล ในสมัยนั้น..สุดยอดแห่งชีวิตของพวกเขา..คือการได้อยู่ในแผ่นดินอิสราเอลตั้งแต่เกิดจนตาย..ได้ดำเนินกับพระเจ้าอย่างใกล้ชิดจนวาระสุดท้าย..แล้วก็ฝังร่างลงบนแผ่นดินที่รองพระบาทของพระเจ้า อารมณ์นี้พอเข้าใจได้..เพราะคริสเตียนก็จะอยากอยู่ใกล้พระเจ้าตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง..ตอนจะตาย (จริงมะ) ดาวิดเลยขอร้องซาอูล..ว่าอย่าบีบให้เขาต้องระเห็ดไปอยู่ที่อื่นอีกเลย การตามล่าเขาก็เหมือนกับไล่หมัดหรือนกกระทาตัวเดียว..ที่ซาอูลได้ไม่คุ้มเสีย
ดู1ซมอ.26:21-22 “..ข้าผิดไปแล้ว..ดาวิด”ซาอูลดูคล้ายๆจะสำนึกผิดที่เอาแต่ตามล่าดาวิด แต่ที่สำคัญสุดคือ “จงกลับเถิด” เพราะซาอูลต้องมีส่วนในความบาปอย่างแรง ถ้าดาวิดไปไหว้พระอื่น เพราะเขาเป็นตัวการที่ทำให้ดาวิดต้องไปอยู่นอกประเทศ ซาอูลเลยรับปาก (อีกครั้ง)..ว่าเขาจะเลิกละ..ไม่ตามล่าดาวิดอีกแล้ว ดาวิดเลยบอกซาอูล..ให้ส่งคนมาเอาหอกคืนไป เขาไม่เคยคิดจะเก็บหอกของซาอูลไว้ เพราะหอกเป็นสัญญลักษณ์ของสิทธิอำนาจเหมือนคทา พวกเบดูอินหรือคนอาหรับเร่ร่อนปัจจุบันก็ยังใช้หอกเป็นเครื่องหมายของสิทธิอำนาจอยู่ คือถ้าเต๊นท์ไหนมีหอกปักอยู่ตรงทางเข้า ก็จะรู้กัน..ว่าเต๊นท์นั้นเป็นที่พักของชีคหรือหัวหน้าเผ่า
ดู1ซมอ.26:23 ดาวิดย้ำอีกครั้งว่า..พระเจ้าเป็นผู้ประทานบำเน็จแก่ทุกคนตามความชอบธรรมและสัตย์ซื่อของมนุษย์ ดาวิดตั้งใจจะบอกว่า..รางวัลชีวิตของเขาอยู่ที่พระเจ้า ที่เขาไว้ชีวิตซาอูล..เขาก็ไม่ได้หวังว่าซาอูลจะมาตอบแทนอะไรเขา เพราะคนเราถ้าทำดี..แล้วหวังว่าคนอื่นต้องให้สิ่งที่ดีตอบแทน เด็กๆว่า..ชาตินี้เราจะทำดีได้ซักกี่ครั้ง เดี๋ยวก็เข็ด..เพราะมนุษย์เอาแน่ไม่ได้ แต่ถ้าเรามองว่าพระเจ้าคือผู้มอบรางวัล..แล้วรางวัลของพระเจ้าก็มีค่าที่สุด น้าตุ๊กเชื่อว่า..ทุกคนจะทำสิ่งที่ดีได้อย่างไม่มีปัญหา เพราะชั้นไม่สนใจ..ว่าทำแล้วคุณจะว่าไง (เพราะนั่นมันเรื่องของคุณ ไม่ใช่เรื่องของชั้น แล้วถ้าคุณจะถูกพิพากษาเพราะทำสิ่งร้าย ตอบแทนความดี..มันก็คือปัญหาของคุณ ไม่ใช่ปัญหาของชั้น) เพราะชั้นทำสิ่งที่ดี ถวายพระเจ้า..ไม่ใช่เอาใจมนุษย์ สุดท้ายซาอูลก็ขอพรพระเจ้าให้ดาวิด แล้วทั้งคู่ก็แยกจากกันไป (อีกครั้ง)
บทที่ 27 ดาวิดไปอยู่ในหมู่คนฟิลิสเตีย (ทำไม)
ดู1ซมอ.27:1-2/3-4 เท่าที่เห็นในบทนี้..ไม่มีข้อความไหนที่ระบุว่าดาวิดถูกกดดันหรือถูกทำให้ต้องหนีไปที่อื่น ดาวิดที่เพิ่งขอร้องซาอูล..ว่าอย่าบีบให้เขาต้องไปจากแผ่นดินอิสราเอล กำลังสมัครใจที่จะไปซะเอง ทั้งที่ซาอูลก็รับปากว่าจะไม่ฆ่าเขาแล้ว (..จะเชื่อได้หรือไม่ก็ตาม..) แต่ตอนนี้ซาอูลยังไม่ได้ลงมือ ดาวิดคิดเอง..ว่าควรไปอยู่ที่ฟิลิสเตีย ซาอูลจะได้เลิกตอแยกับเขาจริงๆซะที ข้อที่2 บอกว่า “ดาวิดจึงลุกขึ้นยกข้ามไปที่ฟิลิสเตีย..” คราวก่อนที่ไปเมืองกัท..เขาเองที่รู้สึกไม่ปลอดภัย ถึงต้องแกล้งบ้าจนเขาปล่อยตัวมา แต่คราวนี้..ดาวิดกลับตัดสินใจไปที่นั่นอีกครั้ง..ไม่ใช่คนเดียว..มีผู้ติดตามอีกหกร้อยกับภรรยาสองคนของเขาด้วย
แต่อย่างน้อยดาวิดก็คิดถูกเรื่องนึง เพราะข้อที่4 บอกว่า..พอซาอูลรู้ว่าดาวิดหนีไปเมืองกัทแล้ว เขาก็ไม่ติดใจที่จะตามล่าดาวิดอีก หมายความว่า..ถ้าดาวิดยังอยู่ในอิสราเอล ซาอูลจะยังรังควาญเขาอยู่มั๊ย (อันนี้ก็ไม่แน่ใจ)
ดู1ซมอ.27:5-7 ดาวิดร้องขอที่อยู่ส่วนตัวจากก.อาคีช เขากับพรรคพวกจะได้อยู่เป็นสัดเป็นส่วน ซึ่งอาคีชก็โอเค..เพราะฟังดูก็สมเหตุสมผล กษัตริย์ฟิลิสเตียเลยยกเมืองศิกลากให้ ศิกลากอยู่ห่างจากเมืองกัทไปทางตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 40 กิโล แล้วก็ไม่ไกลจากอิสราเอล ดาวิดเลยได้ที่อยู่ส่วนตัว..แต่ที่สำคัญกว่าคือได้ห่างไกลจากสายตาของอาคีช ข้อที่7 บอกว่า..ดาวิดอยู่ที่ฟิลิสเตียเป็นเวลา1ปีกับ4เดือน แต่ศิกลากได้กลายเป็นที่อยู่ถาวรของคนอิสราเอลไปเลย
ดู1ซมอ.27:8-10/11-12 ดาวิดได้ที่ส่วนตัวแล้วก็จริงแต่ต้องหากินเอง เขาเลยใช้ศิกลากเป็น..คล้ายๆกองบัญชาการ แล้วก็ออกปล้นบรรดาเมืองที่เป็นศัตรูของอิสราเอล..ตัวอย่างที่เรารู้จักดีก็คือ”ชาวอามาเลข” ส่วนบางชื่อที่พระคำภีร์บอกเราอาจไม่รู้จัก แต่ก็เป็นชาวคานาอันพื้นเมืองเดิมที่พระเจ้าเคยสั่งให้กำจัด แต่ครั้งนี้น่าจะพูดได้ว่า..ดาวิดคงไม่ได้ทำลายคนเหล่านี้”ภายใต้คำสั่งของพระเจ้าหรอก เพราะข้อที่9 บอกว่า..ดาวิดฆ่าคนทั้งหมดแต่เก็บเอาฝูงสัตว์กับทรัพย์สินของพวกเขาไว้ เราถึงเข้าใจว่าดาวิดน่าจะทำเพื่อปากท้อง คือเป็นเรื่องของความอยู่รอดมากกว่า เพราะถ้าเป็นสงครามของพระเจ้าต้องทำลายทั้งหมด..เก็บอะไรไว้ไม่ได้ ข้อที่10 บอกว่า แต่เมื่ออาคีชถาม..ว่าวันนี้ไปปล้นใครมา ดาวิดจะโกหก..ว่าเขาไปปล้นคนอิสราเอลมา เพราะอย่างงี้เขาถึงต้องฆ่าทุกคน..ความลับจะได้ไม่รั่วไหล ข้อที่12 บอกว่า อาคีชเลยไว้ใจดาวิดมาก..เชื่อสนิทว่าเขาปล้นคนชาติเดียวกัน แต่ความจริงไม่ใช่..ดาวิดปล้นศัตรูของอิสราเอลแต่อาศัยร่มเงาของพวกฟิลิสเตียคุ้มหัวไว้ ซึ่งปลอดภัยชัวร์เพราะซาอูลไม่เคยขยันอยากจะรบกับฟิลิสเตียแน่ (ฉลาดสุดๆ..ดาวิด ได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง) แต่ต้องดูต่อไปว่าจะแฮปปี้อีกนานมั๊ย..
ดู1ซมอ.28:1-2 ฟิลิสเตียกำลังจะไปรบกับอิสราเอลอีกครั้ง อาคีชเลยบอกข่าวให้ดาวิดรับรู้และเตรียมตัวไปรบด้วยกัน (เอาล่ะสิ)..ดาวิดตกใจรึเปล่าไม่รู้แต่เราตกใจ แล้วก็งงได้อีกเพราะข้อที่2 ดาวิดตอบว่า “ดีทีเดียวฝ่าบาท จะได้ทราบว่าผู้รับใช้ของฝ่าบาททำอะไรได้มั่ง..” ประมาณว่า..ดีเหมือนกัน ฝ่าบาทจะได้เห็นฝีมือเขาเต็มๆซะที ดาวิดจะหมายความตามที่พูดจริงๆรึเปล่ายังไม่รู้ แต่อาคีชพอใจมากที่ดาวิดพูดอย่างงั้น ถึงกะแต่งตั้งดาวิดให้เป็นองครักษ์ตลอดชีพ น่าสนใจมาก..เพราะเราจะได้เห็นดาวิด..ที่ครั้งนึงเคยเป็นคนถือเครื่องอาวุธให้ซาอูล กลายเป็นองครักษ์ของกษัตริย์ฟิลิสเตีย และกำลังจะไปรบกับอิสราเอลพวกเดียวกัน เรื่องนี้จะเกิดขึ้นจริงๆมั๊ยต้องดูต่อไปเรื่อยๆ
หมดเวลาแล้วค่ะ แล้วพบกันใหม่
ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

วันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2553

หนังสือ1ซามูเอล ครั้งที่16 อาทิตย์ที่6:6:2010

ดาวิดและนางอาบีกายิล
ดู1 ซมอ.25:1 ข้อนี้บันทึกถึงมรณะกรรมของซามูเอล บุคคลที่สำคัญค่อนข้างมากในพระธรรมเล่มนี้ ซามูเอลเป็นผู้เจิมตั้งซาอูลให้เป็นกษัตริย์ เป็นคนเผยพระวจนะว่าซาอูลจะต้องถูกปลด แล้วซามูเอลก็ยังเป็นคนเจิมดาวิดขึ้นมาแทนที่ซาอูลอีกด้วย เพราะฉะนั้นพอซามูเอลตาย ทั้งดาวิดและคนอิสราเอลจำนวนมากก็ไปที่รามาห์บ้านเกิดของเขา..เพื่อไว้อาลัยให้กับซามูเอลผู้รับใช้ที่ยิ่งใหญ่คนนึงของพระเจ้า พอเสร็จงานดาวิดก็กลับไปอยู่ที่ปาราน..
ดู1ซมอ.25:2-3 ข้อนี้บอกว่า มีชายคนนึงชื่อ”นาบาล” ฐานะร่ำรวย เขามีบ้านอยู่ที่มาโอน แล้วก็มีฝูงปศุสัตว์อยู่ที่คารเมล ห่างไปจากบ้านซักประมาณสี่..ห้ากิโล คืออยู่ใกล้ๆกับที่ดาวิดและคนของเขาซ่อนตัวอยู่ ข้อที่3 บอกว่านาบาลมีภรรยาชื่อ”อาบีกายิล” เป็นคนสวยมากแล้วก็ยังฉลาดหลักแหลมซะด้วย ส่วนนาบาลนั้นตรงกันข้าม เพราะพระคำภีร์ระบุว่า..เขาเป็นคนชั่วช้าสามานย์..คงจะสมชื่อ เพราะจริงๆแล้ว นาบาลแปลว่าโง่..
ดู1ซมอ.25:4-6/7-8 ดาวิดรู้มาว่านาบาลกำลังจะตัดขนแกะ อย่าเข้าใจผิดว่าดาวิดอยากจะได้ขนแกะนะ..ไม่ใช่ ประเด็นมันอยู่ที่ตอนตัดเสร็จ เพราะเขาจะมีการเลี้ยงฉลองให้คนงานกับคนที่อยู่แถวนั้น พูดง่ายๆก็คือ ดาวิดเลยส่งคนไปขอแบ่งปันอาหาร ซึ่งจริงๆก็เป็นเรื่องปกติ เพราะถ้าเราจำได้ในฉธบ.ของโมเสส พระเจ้าได้กำชับให้คนอิสราเอลห้ามละเลยคนยากจนหรือคนด้อยโอกาส ข้อที่5บอกว่า ดาวิดสั่งให้คนของเขาไปทักทาย..อวยพรนาบาลในนามของดาวิด และขอร้องให้นาบาลเห็นแก่มิตรภาพที่เขากับพรรคพวก คอยเป็นหูเป็นตา..ระวังภัยอันตรายให้คนงาน..กับฝูงสัตว์ของนาบาล และอยากจะขอให้นาบาลตอบแทนน้ำใจคนของเขาบ้าง..ด้วยอาหารหรือของฝากเล็กๆน้อยๆก็ยังดี
ดู1ซมอ.25:10-12 นาบาลตอบกลับคนของดาวิดว่า..ดาวิดเป็นใคร ใหญ่มาจากไหน..เขาไม่รู้จัก แล้วเรื่องอะไรต้องแบ่งข้าวของให้..คือทำเป็นไม่รู้จัก แต่จริงๆแล้วนาบาลต้องรู้จักดาวิด เพราะเขาพูดออกมาเองว่า..ดาวิดลูกเจสซี แล้วนาบาลก็เป็นคนตระกูลคาเลบ แต่โอเค..คาเลบคือตระกูลใหญ่แล้วก็มีชื่อเสียงมากเพราะคาเลบเขาสร้างชื่อเอาไว้ ส่วนเจสซีอาจจะดูต่ำต้อย แต่ยังไงก็เป็นเผ่ายูดาห์เหมือนกัน แล้วข้อที่10 นาบาลยังพูดว่า “สมัยนี้มีคนใช้เป็นอันมากที่หนีไปจากนายของตน” แปลว่าไร นาบาลไม่ใช่แค่รู้จักดาวิด..แต่ต้องรู้จักเป็นอย่างดีเลยหละ เพราะเขารู้ข้อพิพาทย์ระหว่างซาอูลกับดาวิดด้วย ข้อที่12 บอกว่า คนของดาวิดเลยต้องตากหน้ากลับมารายงานเรื่องทั้งหมดให้ดาวิดฟัง
ดู1ซมอ.25:13 พอฟังลูกน้องเล่าจบ..ดาวิดก็ถึงจุดเดือด คุมตัวเองไม่อยู่..ตะโกนสั่งลูกน้อง400คนให้เอาดาบคาดเอวทันที ตั้งใจจะให้นาบาลได้จ่ายราคาอย่างสาสม คือ”จ่ายด้วยชีวิตของตัวเองกับผู้ชายในครอบครัวทั้งหมด หลายคนคงสงสัยว่า..เฮ้ย! ทำไมตอนนี้ดาวิดใจร้อนจัง แค่ไปขออาหารแล้วเขาไม่ให้ กับถูกถางนิดหน่อย..ถึงขนาดจะไปฆ่าเขายกครัวเลยเหรอ นี่มันผิดวิสัยที่เขาเคยปฏิบัติกับซาอูลอย่างสิ้นเชิง แล้วอะไรทำให้ดาวิดเสียศูนย์ได้ขนาดนั้น..
เหตุผลแรกก็คือ ดาวิดเป็นมนุษย์..โอกาสที่จะล้มไปในความบาปมันมีอยู่ตลอด ถึงเราจะเห็นความเชื่อของเขาเต็มขนาดขึ้นในสิ่งที่เขาทำกับซาอูล (ทำไงก็ไม่โกรธ โทษตัวเองอยู่นั่น) แต่พอมาถึงนาบาล..กลายเป็นคนขี้โมโหไปได้ไง..แค่เขาพูดผิดหูนิดเดียว..ไปฆ่ามันทิ้งทั้งบ้านซะเลย แล้วความเชื่อที่เต็มขนาดแบบที่เคยปฏิบัติกับซาอูลหายไปไหน พระคำภีร์บทนี้เลยทำให้เรารู้ว่า..ถึงเราจะเคยชนะความบาปได้ในอดีตหรือปัจจุบัน มันก็ไม่ได้เป็นการการรันตี..ว่าเราจะไม่ทำบาปอีกหรือชนะตลอดไป เราถึงต้องพึ่งพระเจ้าตลอดเวลา
ข้อที่สองก็คือ เพราะซาอูลคือเจ้านายของดาวิดแล้วที่สำคัญ..เขาเป็นคนที่พระเจ้าเจิมไว้ ส่วนนาบาล..ไม่ใช่ อันนี้ก็น่าจะมีส่วน ที่ทำให้การตอบสนองไม่เหมือนกัน (หรือ..ดาวิดเก็บกดรึเปล่า เพราะเขาเทใจหมอบราบคาบแก้วให้ซาอูลไปแล้ว..ชั่วโมงนั้นก็เลยไม่พร้อมที่จะให้ใครทำร้ายได้อีก(แม้แต่นิดเดียว เหมือนฟางเส้นสุดท้าย) เพราะน้าตุ๊กมองว่า..คนเราถ้าต้องทนกับอะไรมากๆมันจะมีจุดที่อารมณ์จะเปราะบางเป็นพิเศษ
เหตุผลอีกข้อให้เด็กๆดูข้อที่21.. ดาวิดดันไปคาดหวัง..ว่าเมื่อเขาทำสิ่งดี นาบาลก็ควรต้องทำสิ่งดีตอบ ซึ่งมันไม่ใช่..ข้อนี้พลาดสุดๆ..ดาวิดรู้อยู่ พระเจ้าสอนให้เราทำหน้าที่เพื่อถวายพระองค์ เพราะ”พระองค์” คือรางวัลของเรา..ไม่เคยสอนให้เราคาดหวังที่จะได้รางวัลหรือสิ่งตอบแทนจากมนุษย์ แต่มนุษย์มักจะไม่เสถียร..เราถึงยังแพ้การทดลองอยู่เสมอ
ดู1ซมอ.25:14-16 มีคนงานของนาบาลคนนึงวิ่งไปหาอาบีกายิล..ภรรยาคนเก่งของนาบาล เขาเล่าให้อาบีกายิลฟังว่า..ดาวิดส่งคนมาคารวะเจ้านายแต่นาบาลด่าเขากลับไป คนงานคนนี้ยังเล่าความดีของดาวิดกับพวกให้อาบีกายิลฟังด้วย..ว่าพวกเขาทำงานได้อย่างสบาย ไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาทำร้ายทั้งกลางวันกลางคืน ปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะดาวิดกับคนของเขาเป็นเหมือนกำแพงคุ้มกันอยู่ตลอด ข้อที่17 เขาบอกว่า..อาบีกายิลต้องรีบทำอะไรซักอย่าง เพราะตอนนี้ดาวิดโกรธมากกำลังจะมาฆ่ายกครัวนาบาล แล้วที่เขาไม่ไปพูดกับนาบาล เพราะรู้อยู่ว่านายเป็นคนสามหาว ก็คือ ไม่มีเหตุผล หรือจะพูดให้ชัดก็คือไม่ฉลาดเท่าไหร่ บอกไปก็คงไม่มีประโยชน์ (ขนาดลูกน้องยังรู้ไส้)
ดู1ซมอ.25:18-20 พอรู้เรื่องทั้งหมด สิ่งแรกที่อาบีกายิลทำ..คือรีบจัดอาหารอย่างมโหฬาร..แล้วให้คนใช้ล่วงหน้าไปก่อน ตอนนี้ที่สำคัญก็คือต้องเร็ว..เพราะดาวิดกำลังยกพวกมา ข้อที่19 บอกว่า “..อาบีกายิลสั่งการและลงมือทำทุกอย่างโดยไม่บอกให้สามีรู้” อันนี้เห็นด้วย เพราะถ้ารู้แล้วงี่เง่าหรือทำให้ทุกอย่างแย่ลง..ก็อย่ารู้เลย บางคนอาจจะสงสัยว่า..แล้วตกลงอาบีกายิลเป็นเมียที่ดีรึเปล่า เพราะเมียที่ดีต้องเชื่อฟังสามีแต่อาบีกายิลทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับสามี จริงอยู่ที่การเชื่อฟัง(ส่วนใหญ่) ต้องแสดงออกด้วยการเดินตามการตัดสินใจของผู้นำ แต่บางครั้งเราก็ไม่จำเป็นต้องเดินตามถ้าทางที่สามีหรือผู้นำเลือกเดิน..มันค้านกับน้ำพระทัยพระเจ้า อย่างเช่นกรณีของนาบาลกับอาบีกายิลนี้เป็นต้น เพราะเราต้องไม่ลืม..ว่าการเชื่อฟังในแบบของพระเจ้า ก็คือ เชื่อฟังพระเจ้าก่อน..เอาพระวจนะของพระองค์เป็นเกณฑ์ แล้วรองลงมาถึงจะเป็นมนุษย์..ในแนวทางที่พระองค์สอนไว้
หลังจากที่อาหารถูกส่งไปแล้ว อาบีกายิลก็ขี่ลาลงมาจากภูเขา แล้วก็สวนกับดาวิดพอดีแต่ทีแรกมีสันเขาบัง..ก็เลยมีโอกาสได้ยินดาวิดพูดหมายหัวจะเอาชีวิตนาบาลกับคนในครอบครัว แล้วนาทีต่อมาทั้งคู่ถึงได้ประจัญหน้ากัน
ดู1ซมอ.25:23-25 พอเจอหน้ากัน อาบีกายิลรีบลงจากหลังลา..ซบหน้าลงถึงดินกราบที่เท้าของดาวิด แล้วอ้อนวอนให้ดาวิดช่วยฟังหน่อย..ว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น มันเป็นความผิดของเธอคนเดียว อย่าเอาเรื่องนาบาลเลย..เพราะเขาเป็นคนโง่ ปากเสียพูดอะไรไม่คิด ชื่อก็บอกอยู่แล้ว คือ นาบาลแปลว่าโง่..ก็เลยโง่สมชื่อ ส่วนตอนที่คนของดาวิดมาที่บ้าน..เธอไม่เห็นเลยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ดู1ซมอ.25:26-27 อาบีกายิลพยายามพูดให้ดาวิดเข้าใจว่า..วันนี้พระเจ้าทรงเป็นผู้ยับยั้ง..ไม่ให้เขาทำบาป..จากการทำให้เลือดของผู้ไร้ความผิดตก เพราะตามธรรมบัญญัติของโมเสสก็คือ”ตาแทนตา ฟันแทนฟัน” แล้วนาบาลทำไรดาวิดรึยัง..ยังเลย เขาก็แค่พูดจาดูหมิ่นดาวิด ส่วนผู้ชายในบ้านยิ่งไปกันใหญ่..ยังไม่ได้ทำอะไรผิดเลย ถ้าดาวิดจะฆ่าเขาเพราะเหมารวม ก็เท่ากับดาวิดเจตนาจะฆ่าผู้บริสุทธิ์ แล้วอาบีกายิลก็ขอให้ดาวิดรับของที่เธอจัดมาให้ จากนั้นก็ยังหนุนใจดาวิด..ว่าดาวิด”ทำสงครามอยู่ฝ่ายพระเจ้า” หมายถึงเป็นคนที่ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้ามาตลอด เพราะฉะนั้น ดาวิดไม่ต้องกลัว..พระเจ้าไม่ยอมให้ใครแตะต้องเขาอยู่แล้ว
ดู1ซมอ.25:32-33 พออาบีกายิลพูดจบ..ดาวิดรู้ทันทีว่าพระเจ้าคือผู้ที่ส่งผู้หญิงคนนี้มาเตือนเขาไม่ให้ทำบาป แล้วทุกคำที่อาบีกายิลพูดก็มาจากพระเจ้าเพราะดาวิดฟังแล้วกลับใจใหม่ทันที เขายอมรับว่าความสุขุมรอบคอบของอาบีกายิลทำให้เขามีสติ..ยอมละการแก้แค้นไว้ที่พระเจ้า นี่ก็คือข้อดีอีกอันนึงของดาวิด คือยอมฟังผู้ที่ด้อยกว่า เพราะหลายคนชอบคิดว่าความรู้หรือพระวจนะของพระเจ้า ต้องมาจากคนที่ดูเหนือกว่า..อยู่สูงกว่าหรือมีศักยภาพมากกว่าเรา...ซึ่งไม่ใช่ เพราะพระเจ้าใช้ใครก็ได้ แล้วของประทานก็ไม่ได้ถูกจำกัดไว้กับผู้ที่มีอำนาจสูงส่งเท่านั้น บางครั้งพระเจ้าอาจสอนเราผ่านทางน้องสาว น้องชาย ลูก คนรับใช้ คนกวาดถนน คนเก็บขยะ หรือแม้แต่ผู้เชื่อใหม่..เราก็ต้องฟังด้วยความถ่อมใจ ถ้าสิ่งที่เขาพูดมันตรงกับที่พระเจ้าสอนไว้ หรือฟังแล้วรู้สึกได้ว่าสิ่งนี้มาจากพระเจ้า..เราก็ต้องฟัง จะมัวคิดว่า..ชั้นเชื่อมาสิบปีส่วนเธอเพิ่งมาเชื่อเดือนเดียว..จะมารู้จริงได้ไง อันนี้คือความเย่อหยิ่งและใจแคบ ข้อที่34 ดาวิดบอกว่า..ถ้าอาบีกายิลไม่รีบคิดแก้ไขเรื่องต่างๆโดยเร็ว พรุ่งนี้ทุกอย่างคงสายเกินแก้..แล้วดาวิดก็รับของกำนัลจากอาบีกายิล แล้วรับปาก..ว่าจะไม่เอาเรื่องนาบาล เสร็จแล้วก็ส่งนางกลับบ้านไป
ดู1ซมอ.25:36-38 ตอนที่อาบีกายิลกลับถึงบ้าน นาบาลยังฉลองไม่เลิก แล้วก็ไม่ได้สังวรณ์ซักนิดว่า..ตัวเองเกือบชะตาขาดซะแล้ว ยังมัวแต่กินดื่มสนุกสนานเฮฮา (เหมือนงานเลี้ยงของพระราชา..) อาบีกายิลเห็นว่าสามีเมามากเลยยังไม่พูดอะไร (ฉลาด..เพราะพูดกับคนเมาอ่ะ..ไม่พูดดีกว่า) อาบีกายิลเลยรอจนเช้า..พอนาบาลเริ่มสร่างเมาถึงได้เล่าทุกอย่างให้ฟัง ข้อที่37 บอกว่า”จิตใจของนาบาลก็ตายเสียภายใน แล้วเป็นเหมือนก้อนหิน” ช็อคไปเลยเหมือนหัวใจวายแล้วก็เป็นอัมพาตทั้งตัว สิบวันต่อมาพระเจ้าก็เอาชีวิตนาบาลไป
ดู1ซมอ.25:39-40 พอดาวิดรู้ข่าวการตายของนาบาล..เขาก็สรรเสริญโมทนาพระคุณพระเจ้า (ในใจคงคิดว่า..เกือบไปแล้ว) เกือบจะฆ่าเองกะมือซะแล้ว ถ้าพระเจ้าไม่ยับยั้งเขาไว้... ดาวิดต้องรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต ซึ่งไม่คุ้มเลย..กับความสะใจชั่วขณะ ตอนนี้ดาวิดเห็นชัดเจน..ว่าอย่างงี้มันดีกว่าเยอะ คิดไปคิดมา..คงนึกถึงอาบีกายิลที่มีส่วนในการกลับใจของเขา ข้อที่39บอกว่า ดาวิดเลยส่งคนไปขออาบีกายิลมาเป็นภรรยา.. สงสัยจะโดนใจตั้งแต่แรก เพราะอาบีกายิลสวยมากแถมฉลาดได้ใจ ข้อที่40 คนของดาวิดเลยไปหาอาบีกายิลแล้วบอกว่า “ดาวิดให้มาพาตัวเธอไปเป็นภรรยา..” เลยไม่รู้ว่า ตกลงมาขอหรือมาสั่งกันแน่เนอะ
ดู1ซมอ.25:41-42 พอได้ยินอย่างงั้น อาบีกายิลก็ซบหน้าลงถึงดิน แล้วพูดด้วยความถ่อมใจว่า..เธอไม่เคยหวังสูงขนาดนั้น เธอน่าจะเป็นแค่คนล้างเท้าให้ผู้รับใช้หรือลูกน้องของดาวิดเท่านั้น แต่ถึงไงก็ไม่ปฏิเสธ..รีบลุกขึ้นขี่ลาตามเขาไปพร้อมสาวใช้อีกห้าคน อาบีกายิลเลยเป็นภรรยาของดาวิดตั้งแต่นั้นมา ข้อที่43 บอกว่าดาวิดยังรับนางอาหิโนอัมชาวยิสเรเอลมาเป็นภรรยาด้วย หมายถึง ดาวิดมีนาหิโนอัมเป็นภรรยาอยู่ก่อนแล้ว ส่วนมีคาลภรรยาคนแรก(ที่เป็นลูกสาวซาอูล)..พระคำภีร์บอกว่า ซาอูลยกให้คนอื่นไปแล้ว
ดาวิดไว้พระชนม์ซาอูลที่ศิฟ
ดู1ซมอ.26:1-2 คุ้นมะ..ชาวศิฟ คราวก่อนก็ทีละ..ไปแจ้งเบาะแสของดาวิดให้ซาอูลรู้ จนซาอูลเกือบจะจับดาวิดได้ ถ้าพวกฟิลิสเตียไม่มาขัดคอซะก่อน มาคราวนี้ชาวศิฟยังไม่เลิกลา มาแจ้งเบาะแสดาวิดให้ซาอูลรู้อีกครั้ง ซาอูลที่คราวก่อนร้องห่มร้องไห้..ให้สัญญาว่าจะวางมือจากดาวิด ก็ลุกขึ้นทันที ทำเหมือนเดิมเลยเกณฑ์คนสามพันออกไปล่าดาวิด (นี่มัน..ไม่มีสัจจะหรือสมองเสื่อมก็ไม่แน่ใจนัก) ข้อนี้บอกว่า ขณะที่ซาอูลตั้งค่ายอยู่ดาวิดก็ส่งคนไปสอดแนม พอรู้ว่ามาแน่..เลยไปดูให้เห็นกับตา ปรากฎว่าเห็นซาอูลนอนหราอยู่กลางค่ายมีหอกด้วย แล้วอับเนอร์ที่เป็นทั้งลุงและแม่ทัพก็นอนอยู่ใกล้ๆ ส่วนทหารสามพันคนก็นอนล้อมอยู่รอบนอกอีกที (เหมือนจะปลอดภัยสุดๆ)
ดู1ซมอ.26:7-9 ดาวิดถามลูกน้องสองคนคือ”อาหิเมเลค”(คนละคนกับปุโรหิตที่ถูกซาอูลฆ่า)กับอีกคนคือ”อาบีชัย” ว่าใครจะอาสาลงไปค่ายของซาอูลกับเขา อาหิเมเลคเฉย..แต่อาบีชัยขอไปด้วย เด็กๆลองนึกภาพ..ค่ายทหารที่ดาวิดกับอาบีชัยต้องย่องเข้าไป ซาอูลนอนอยู่ตรงกลางพร้อมหอก ข้างๆมีอับเนอร์แม่ทัพคนเก่ง แล้วยังกองทหารที่นอนรอบเขาอีกสามพันคน ถ้าเป็นเราจะกล้าเดินเข้าไปมะ..เกิดสะดุดใครซักคนตื่นขึ้นมาล่ะยุ่งเลย
พอทั้งคู่เข้าถึงตัวซาอูลแล้ว..อาบีชัยคงกลัวเหตุการณ์จะเหมือนตอนที่อยู่ในถ้ำ คือดาวิดไม่ยอมฆ่าซาอูล ข้อที่8 อาบีชัยเลยกระซิบที่ข้างหูดาวิดว่า”วันนี้พระเจ้าได้มอบซาอูลไว้ในมือของท่านอีกแล้ว..ให้ผมจัดการเขาเองนะ รับรองแทงครั้งเดียวตายสนิท” คืออาสาจะฆ่าให้เพราะคิดว่า ดาวิดก็น่าจะเข็ดแล้ว เพราะเห็นอยู่..ว่าซาอูลไม่รักษาสัญญา
ดู1ซมอ.25:10-12 ดาวิดห้าม..ไม่ให้อาบีชัยฆ่าซาอูล เขาหนุนใจอาบีชัย..ว่าพระเจ้าจะฆ่าเขาเอง ไม่รู้ด้วยวิธีไหนเพราะพระองค์มีหนทางมากมายหลากหลาย ซาอูลอาจจะตายเองตามธรรมชาติหรือตายในสนามรบก็ได้ แต่ที่แน่ๆดาวิดจะไม่แตะต้องเขา น้าตุ๊กว่าครั้งนี้ดาวิดยิ่งต้องมั่นใจ เพราะมีกรณีของนาบาลเป็นตัวอย่าง แล้วดาวิดก็สั่งให้อาบีชัยหยิบเอาหอกกับเหยือกน้ำของซาอูลไป ข้อที่12 บอกว่า พอได้หอกกับเหยือกน้ำแล้ว ทั้งคู่ก็เดินออกจากค่ายไป ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครตื่น เพราะพระเจ้าทรงบันดาลให้หลับสนิททุกคน
หมดเวลาแล้วค่ะ..จนกว่าจะพบกันใหม่
ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ