วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2553

หนังสือ 1ซามูเอล ครั้งที่ 7 อาทิตย์ที่ 21:3:2010

ดู1ซมอ.12:14-15 ข้อนี้ซามูเอลบอกว่า..ถ้าท่านทั้งหลายรวมถึงพระราชาของท่าน จะยำเกรงพระเจ้า เชื่อฟังและสัตย์ซื่อต่อพระองค์ ก็โอเค..ไม่มีปัญหา แต่ถ้าคนอิสราเอลยังกบฎ อยากทำอะไรๆตามใจตัวเอง(ด้วยความเย่อหยิ่ง) พระหัตถ์ของพระเจ้าก็จะต่อสู้พวกเขา คือพวกเขาก็ต้องถูกพระเจ้าลงโทษอยู่ดี และกษัตริย์ก็ช่วยอะไรไม่ได้
ซึ่งสรุปแล้วก็เหมือนเดิมอ่ะ การมีกษัตริย์ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงในเรื่องนี้..ยังไงพระเจ้าก็ยังคงเป็นผู้ที่ครองอยู่บนบัลลังก์ของอิสราเอลและของพวกเราทุกคนด้วย..ยังไงพระองค์ก็ใหญ่สุด เพราะฉะนั้น ตอนนี้ซามูเอลกำลังเตือนสติคนอิสราเอลให้สำนึก เพราะไม่ว่าจะมีกษัตริย์หรือไม่มี..(จะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ) อิสราเอลก็ต้องเชื่อฟังและยำเกรงพระเจ้าอย่างสัตย์ซื่อ (และมนุษย์ทุกคนก็ยังอยู่ภายใต้การควบคุมของพระเจ้าอยู่ดี)
ดู1ซมอ.12:16-18 “บัดนี้ท่านทั้งหลายจงยืนนิ่งอยู่..” คำนี้มีความหมายกลายๆ..ว่าให้ทุกคนตั้งสติ หยุดคิดพิจารณาถึงเรื่องราวต่างๆที่พวกเขาทำลงไป และเตรียมใจรับคำพิพากษา ซามูเอลประกาศชัดเจนว่า..การพิพากษาจะมีขึ้นในฤดูเก็บเกี่ยว ซึ่งตามปกติดูเก็บเกี่ยวเนี่ย..จะไม่มีฝน แต่ซามูเอลขอให้พระเจ้าส่งพายุฝนมาในฤดูเก็บเกี่ยวที่กำลังจะมาถึง แล้วอะไรจะเกิดขึ้น ผลผลิตทางการเกษตรก็จะเสียหาย ซึ่งนั่นหมายความว่า..ความอดอยากปากแห้งก็จะตามมา ข้อที่18บอกว่า พระเจ้าทำให้เกิดฝนฟ้าคะนองในวันนั้นด้วย เหมือนเป็นการตอบรับคำร้องของซามูเอล และสิ่งนี้ทำให้ทุกคนเห็นว่า..ซามูเอลยังคงเป็นคนของพระเจ้า..เป็นผู้เผยพระวจนะแท้ที่พระเจ้าการันตีอยู่
ดู1ซมอ.12:19-20 “ขอท่านอธิฐานต่อพระเยโฮวาห์..เพื่อเราทั้งหลายจะไม่ถึงตาย”..เพิ่งคิดได้ คนอิสราเอลเพิ่งจะสำนึก ทั้งๆที่ซามูเอลพูดแล้วพูดอีก..ว่าการขอกษัตริย์ของพวกเขาเนี่ย..มันเผยให้เห็นบาปที่อยู่ในใจ แต่ก่อนหน้านี้พูดยังไงก็ไม่ฟัง ต้องให้คำพิพากษามาถึงตัว..อิสราเอลถึงตาสว่าง นี่แหละมนุษย์..ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา..ก็คืออาการนี้เลย พอคิดได้ก็บอกซามูเอลว่าอธิฐานให้หน่อย..พระเจ้าจะได้ไม่เอาถึงตาย คือแค่หนักเป็นเบาก็ยังดี
แปลกมะ..เมื่อกี๊ยังเห่อซาอูลอยู่เลย เพราะเพิ่งนำทัพให้อิสราเอลชนะคนอัมโมนได้ แต่พอโดนพระเจ้าพิพากษารีบหันมาพึ่งซามูเอล การช่วยกู้จากมือของมนุษย์กลายเป็นเรื่องเล็ก คนอิสราเอลเริ่มคิดออก..ว่าเรื่องที่ใหญ่และน่ากลัวกว่าก็คือ การช่วยกู้จากพระอาชญาของพระเจ้า ข้อที่20 ซามูเอลบอกประชาชนว่า..อย่ากลัวเลย แต่พวกเขาต้องละทิ้งการติดตามในสิ่งอนิจจังทั้งปวง สิ่งอนิจจังก็คือ..ทุกอย่างที่ไม่ใช่พระเจ้า (คำนี้หลายคนฟังแล้วคงขัดใจ) แต่จงเชื่อและหวังใจในพระองค์อยู่เสมอ แต่อิสราเอลตอนนี้ก็กำลังคาดหวังกษัตริย์มากจนเกินเลย หวังใจว่าซาอูลจะมาเป็นผู้ที่ช่วยให้พวกเขาอยู่ดีมีสุข..และช่วยนำพาความรอด (พ้นจากเงื้อมมือศัตรู) มาให้แก่พวกเขาได้ เหมือนคริสเตียนบางคนก็มองภาพผู้นำเกินความจริง หลงผิดคิดไปว่าอนาคตของคริสตจักรหรืออนาคตของตัวเองนั้น ขึ้นอยู่กับมนุษย์บางคนซึ่งมันไม่ใช่ แน่นอนเราต้องให้เกียรติและเคารพในตัวผู้นำ แต่ไม่ใช่เอาเขาเป็นรูปเคารพแทนที่จะเอาพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง เรื่องนี้น้าตุ๊กสอนไปแล้วอย่างละเอียดในฉธบ. ใครที่พลาดก็ไม่เป็นไร ถ้าเด็กๆเข้าชั้นเรียนอย่างสม่ำเสมอมันก็จะต่อกันติด เพราะจริงๆแล้วพระคำภีร์ก็จะพูดเรื่องเดียวกันซ้ำๆอยู่ตลอดเวลา แค่ต่างที่ต่างสถานการณ์เท่านั้นเอง
ดูหนังสือยอนห์ 6:27-29 “อย่าขวนขวายหาอาหารที่เสื่อมสิ้นไป” อาหารที่เสื่อมสิ้นไปหมายถึงอะไร..ก็ทุกอย่างบนโลกใบนี้ ทั้งทรัพย์สินเงินทอง วัตถุสิ่งของ พระอื่นที่เทียมเท็จ หรือแม้แต่ตัวมนุษย์ด้วยกันเองก็นับเป็นอาหารที่เสื่อมสิ้นเช่นกัน...เพราะในส่วนของอิสราเอลตอนนี้ จริงๆแล้วก็ไม่ผิดที่จะมีกษัตริย์เป็นผู้นำ แต่ผิดที่พวกเขาไปวางใจและฝากความหวังในตัวมนุษย์ ซึ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยเพราะขึ้นชื่อว่าเป็นมนุษย์เขาก็ไม่ต่างอะไรจากเรา ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ พ่อ แม่ ลูก สามี ภรรยา ทุกคนที่เรารักและรักเรา..ล้วนแต่เหนื่อยเป็น หิวเป็น เจ็บเป็น มีอารมณ์ที่ขึ้นๆลงๆ ไม่คงที่ เพราะฉะนั้น ไม่ครั้งใดก็ครั้งหนึ่งเขาต้องทำให้เราผิดหวัง ไม่มากก็น้อยเพราะความอดทนและศักยภาพของเขามีจำกัด..ก็คนเหมือนกันอ่ะ แล้วเราจะคาดหวังอะไรมากมายในตัวมนุษย์..ทำไมไม่หวังในพระเจ้าที่ทรงเสถียร ดังนั้นในข้อที่29 พระเยซูถึงบอกว่า “งานของพระเจ้านั้น คือการที่ท่านวางใจในท่านที่พระองค์ทรงใช้มา” และท่านที่พระองค์ทรงใช้มา คือ องค์พระเยซูคริสต์เอง น้าตุ๊กไม่ได้หมายความว่า..ต่อไปนี้ห้ามคาดหวังในพ่อแม่หรือเลิกรักในตัวผู้อื่น แล้วก็เลยตั้งใจว่าจะไม่มีแฟน..อย่าคิดอย่างงั้น แน่นอนให้เรารักใครๆรอบข้างเหมือนเดิม..แต่จงรักอย่างพระเจ้า รักด้วยความเข้าใจ..ว่าก็คือมนุษย์คนนึงเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ พี่ น้อง แฟน เพื่อนหรือใครๆก็ตามที่เข้ามาในชีวิตเรา จงรักเขา..แต่รักในแบบที่เขาเป็น ไม่ใช่อย่างที่เราอยากให้เป็น คาดหวังได้มะ..ได้แน่นอน..แต่ในระดับหนึ่ง เพราะถ้าไม่สมหวังเราก็จะไม่เสียใจเยอะแยะ..เพราะไม่ได้ทุ่มสุดตัว
เพราะฉะนั้น ย้ายความหวังอันเลอเลิศของเราไปไว้ที่พระเจ้าซะ..จะได้ไม่ผิดหวัง แล้วเด็กๆจะพบกับอิสระภาพที่เกินความเข้าใจ เพราะจะไม่มีใครหรือเรื่องอะไรมาทำให้เราเสียใจได้มากมายอีกเลย เด็กๆจะเติบโตอย่างมั่นคง..และสง่างาม ไม่ใช่โตมาเป็นคนใจแคบ ใครแตะนิดแตะหน่อยไม่ได้..สะดุดเขาไปทั่ว เพราะคนอย่างงี้จะสร้างความปวดหัวให้สังคมอย่างมาก ไม่ว่าจะในสถาบันไหนก็ตาม น้าตุ๊กไม่เคยคาดหวังให้เด็กๆมีศักยภาพสูงส่งมากมาย หรือต้องเป็นคนโดดเด่นที่สร้างชื่อเสียงให้สังคม ขอแค่ให้เด็กๆเติบโตขึ้นมาพร้อมกับความเข้าใจในถ้อยคำพระเจ้า ทีละเล็กทีละน้อยอย่างสม่ำเสมอ..แค่นั้นพอ เพราะนั่นคือสิ่งที่จะเกิดผลได้อย่างงดงาม..เกินความเข้าใจของมนุษย์
ดู1ซมอ.12:23-25 ซามูเอลบอกว่าอย่าให้เขาเผลอทำบาป ด้วยการหยุดอธิฐานเพื่อคนอิสราเอล..เพราะอะไร ถ้าเป็นเราก็อาจจะมีอารมณ์อยากสมน้ำหน้าเหมือนกันนะ ก็เตือนแล้วเตือนอีกก็ไม่ฟังซักที จนความวิบัตมาตั้งอยู่ตรงหน้าแล้วถึงจะคิดได้..แถมยังมีหน้ามาขอให้ช่วย ถ้าเราเป็นซามูเอลจะยังช่วยมั๊ย..ช่วยพูดกับพระเจ้าให้ยกโทษให้คนอิสราเอลอ่ะ ตรงนี้ไม่ง่ายนะ แต่ซามูเอลบอกว่าเขาจะไม่ยอมทำบาปด้วยการหยุดรับใช้พระเจ้า คือหยุดอธิฐานเพื่อประชาชน แต่จะยืนหยัดในการโน้มนำให้พวกเขาดำเนินอยู่ในทางที่ถูกที่ควร
สงครามกับคนฟิลิสเตีย ดู1ซมอ.13:2-3 ในตอนนี้บอกว่า ซาอูลจัดกำลังทหารไว้ 3000 คน โดยให้สองพันคนอยู่กับเขาที่มิคมาช ส่วนอีกหนึ่งพันให้อยู่กับโยนาธานที่กิเบอาห์(โยนาธานก็คือลูกชายของซาอูล) ข้อที่3 บอกชัดเจนว่า..โยนาธานได้ตีทหารของพวกฟิลิสเตียจนพ่ายแพ้ แต่ข้อที่4 บอกว่า สิ่งที่คนอิสราเอลได้ยินคือ ซาอูลคือผู้รบชนะพวกฟิลิสเตีย เนี่ย..เริ่มละซาอูล ขนาดความดีของลูกยังจะเอามาเป็นของตัวเอง เพราะข้อที่3 บอกว่า”ซาอูลเป็นผู้ประกาศข่าวนี้ให้คนฮีบรูได้ยิน “ถึงชัยชนะครั้งนี้จะยังไม่ใหญ่โตอะไร แต่ความเย่อหยิ่งของซาอูลรวมทั้งของเราด้วย..มันก็เริ่มจากจุดเล็กๆอย่างงี้แหละ เพราะฉะนั้น”อย่าออมชอมให้กับความบาป..เพราะไอ้เรื่องเล็กๆนี่แหละตัวดี”
ดู1ซมอ.13:5-7 “กองทหารของคนฟิลิสเตียนั้นก็มากมายเหมือนทรายที่ฝั่งทะเล” อิสราเอลเอลมีเท่าไหร่ ตอนแรกซาอูลเตรียมไว้สามพันแล้วก็มีการเรียกมาสมทบอีก แต่ก็คงไม่มากมายอะไร เพราะพระคำภีร์บอกต่อไปว่า..อิสราเอลคับขัน จนต้องไปซ่อนอยู่ตามถ้ำและซอกหิน...ภาพที่กิเดโอนต้องไปนวดข้าวในบ่อย่ำองุ่นกลับมาทันที ที่แย่กว่านั้น..ข้อ7 บอกว่า..บางคนก็หนีข้ามน.จอร์แดนกลับไปฝั่งตะวันออกเลย ที่ยังเหลืออยู่กับซาอูลก็กลัวจนตัวสั่น
ที่เป็นอย่างงี้..เพราะอิสราเอลลืมเงยหน้ามองฟ้า พวกเขาลืมโฟกัสที่ข้างบน คือ..(พระเจ้า) มัวแต่มองสิ่งที่ตาเห็น ประเมินความสำเร็จจากสิ่งที่ตัวเองมี แล้วจะเหลือมั๊ย..ก็เห็นอยู่ทหารของฟิลิสเตียมีมากเหมือนเม็ดทราย..แล้วพวกเขามีอะไร มีทหารแค่ไม่กี่พันหรืออย่างมากก็หมื่น..เพราะงั้นตายแน่ แต่ไม่ว่าจะเป็นอิสราเอลในวันนั้นหรือพวกเราในวันนี้ก็ไม่ต่างกัน เพราะมันไม่มีอะไรใหม่ภายใต้ฟ้านี้ พระคำของพระเจ้าที่สอนคนอิสราเอลในวันนั้นก็สอนเราในวันนี้ด้วย เพราะฉะนั้นเวลาเจอปัญหา..เด็กๆอย่าประเมินความสำเร็จด้วยสิ่งที่เรามีหรือเราเป็น อย่าเอาตัวเองหรือสิ่งที่ตามองเห็นเป็นที่ตั้งหรือเป็นตัววัดความสำเร็จ เด็กๆต้องมองที่ข้างบน โฟกัสที่พระเจ้า ใช่!ชั้นกระจอกแต่พระเจ้าของชั้นยิ่งใหญ่สูงสุด ย้ำ..พระเจ้าใหญ่สุด ใหญ่กว่าเทพเทวดา รวมถึงพระเทียมเท็จ และผีมารซาตานทั้งปวง แล้วนับประสาอะไรกับมนุษย์ ถ้าพระเจ้าอยู่ฝ่ายเราใครจะขวางเรา เพราะงั้นจะไม่มีซักเรื่องเดียวที่เป็นไปไม่ได้สำหรับเรา..วางใจได้เลย
ดู1ซมอ.8-10 ก่อนที่คนอิสราเอลจะทำอะไรก็ตาม..พวกเขาจะต้องเผาเครื่องบูชาถวายพระเจ้าก่อนและคนที่จะทำหน้าที่นี้ได้คือปุโรหิตเท่านั้น นี่เป็นกฎบัญญัติที่พระเจ้าตั้งไว้ ข้อนี้บอกว่า..ซามูเอลบอกให้ซาอูลรออยู่ที่กิลกาล 7วัน แล้วเดี๋ยวเขาจะตามมา..เพื่อถวายบูชาพระเจ้า แล้วพระเจ้าก็ทรงทดสอบความอดทนของซาอูลด้วยการให้ซามูเอลมาถึงจนเกือบจะนาทีสุดท้าย..แต่ไม่ใช่ไม่ทันแล้วก็ไม่ได้มาสายด้วย แต่ซาอูลรอมะ..ไม่รอ
โอเค..“เราพอจะนึกภาพออก..ถึงความร้อนใจของซาอูล ข้าศึกก็ประชิดตัว กำลังของฝ่ายตรงข้ามก็เยอะจนน่ากลัว แถมประชาชนก็ขวัญหนีดีฝ่อหลบไปอยู่ตามถ้ำตามรูกันหมด เพราะงั้นซาอูลคงรู้สึกว่า..นี่มันคับขันจนทนแทบไม่ไหว..แล้วซามูเอลมัวไปทำอะไรอยู่“ ในที่สุดซาอูลก็หมดความอดทน เขาสั่งให้คนไปเอาเครื่องเผาบูชากับเครื่องศานติบูชามาให้ แล้วก็จัดแจงเผาเองเสร็จเรียบร้อย ข้อที่10 บอกว่า..ทันทีที่ซาอูลเผาเสร็จซามูเอลก็มาถึง แล้วก็ไม่ใช่ซาอูลที่ไปต่อว่าซามูเอลที่เพิ่งมา แต่ซาอูลรู้ตัวทันทีว่า”เขาเป็นฝ่ายผิด” เพราะในข้อนี้ยังบอกด้วยว่า..ซาอูลออกไปต้อนรับและยังก้มลงคำนับซามูเอล
ดู1ซมอ.13:11-12 ซามูเอลตกใจที่ซาอูลกล้าละเมิดกฎของพระเจ้า เขาพูดกับซาอูลว่า..นี่ท่านทำอะไรลงไป ซาอูลบอกว่า..ก็ข้าศึกมาประชิดแล้วประชาชนก็สติแตก เขาจะรบก็รบไม่ได้เพราะยังไม่ได้ทูลขอพระกรุณาจากพระเจ้า จริงๆก็ไม่ได้อยากทำหรอกนะแต่จะทำไงได้..นี่ก็ข่มใจอยู่ตั้งนานนะ..กว่าจะตัดสินใจเผาเครื่องบูชา เนี่ย..นิสัยซาอูล ทำผิดแล้วไม่เคยยอมรับ แต่จะหาข้อแก้ตัวตลอด (แล้วครั้งนี้ก็จะไม่ใช่ครั้งเดียว ที่เราจะได้เห็นนิสัยแย่ๆของเขา) แล้วเหตุผลของซาอูลก็ใช้การไม่ได้ด้วย..เพราะถึงยังไง เด็กๆต้องจำไว้..ว่าเราไม่สามารถที่จะเอาเหตุสุดวิสัยหรือความทุกข์ยากของเรามาอ้าง..เพื่อที่จะทำบาปได้
ดู1ซมอ.13:13-15 ซามูเอลตำหนิซาอูลตรงๆเลย..ว่าเขาโง่มากที่ทำอย่างงี้ เพราะเขาได้ไม่คุ้มเสียแน่นอน กฎบัญญัติของพระเจ้าทุกเรื่องจริงๆแล้วเป็นแค่ด่านพิสูจน์ความเชื่อฟังของเรา จะละเมิดเรื่องไหนก็ผิดเท่ากัน เพราะมันวัดกันแค่ว่า”เราเชื่อ..หรือไม่เชื่อ” เหตุผลไม่เกี่ยว เหมือนยุคพระคุณนี้ พระเจ้าบอกต้องเชื่อพระเยซู เหตุผลล่ะ?..ถึงแม้จะมีแต่สำคัญมะ..ไม่สำคัญ มันสำคัญแค่ว่า..บอกให้เชื่อแล้วเชื่อหรือเปล่า..แค่นั้น เหตุผลอื่น..ไม่ต้อง
และคำพิพากษาก็มาถึงทันที..ข้อที่14ซามูเอลบอกว่า..ราชวงศ์ของซาอูลจะต้องจบลงแค่นี้ เพราะพระเจ้าได้เลือกชายคนนึงขึ้นมาแทนที่และกำหนดให้เขาเป็นกษัตริย์แทนซาอูลแล้ว
ราคาของความไม่เชื่อ..แพงมากทุกยุคทุกสมัย สำหรับซาอูลการไม่เชื่อฟังกฎของพระเจ้าทำให้เขาต้องสูญเสียทั้งราชวงศ์ ลูกชายของเขาก็ไม่มีโอกาสที่จะสืบราชบัลลังก์ ส่วนมนุษย์ทุกคนในปัจจุบันนี้..ถ้าไม่เชื่อพระเยซูคริสต์ ก็ต้องจ่ายแพงเช่นกัน เพราะต้องแรกมาด้วยความตายทางจิตวิญญาณนิรันดร์..ไม่มีวันได้รับความรอด ซึ่งกว่ามนุษย์บางคนจะรู้ซึ้งถึงความสำคัญของสิ่งนี้..มันก็อาจจะสายไปแล้ว
หมดเวลาแล้วค่ะ จนกว่าจะพบกันใหม่..พระเจ้าอวยพรค่ะ

วันอังคารที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2553

หนังสือ 1ซามูเอล ครั้งที่6 อาทิตย์ที่14:3:2010

ดู1ซมอ.10:17-19 ข้อนี้บอกว่า..ซามูเอลเรียกประชุมคนอิสราเอลที่มิสปาห์ ซามูเอลพูดอะไร..ซามูเอลเตือนประชาชนอีกครั้งนึง..ว่าการร้องขอกษัตริย์เนี่ย..มันสำแดงถึงการไม่เชื่อฟังนะ รู้ตัวมั๊ยว่าทำอะไรกันอยู่ พระเจ้าทรงอุตรส่าห์กอบกู้เราให้พ้นจากมือของคนอียิปต์แล้วก็ยังอีกหลายชนชาติที่มาระราน อิสราเอลยังเป็นประเทศอยู่จนทุกวันนี้..ก็เพราะพระเมตตาคุณที่ไม่เคยสิ้นสุดของพระองค์ “..แต่วันนี้ท่านกลับเลือกที่จะละทิ้งพระเจ้า..แล้วพูดออกมาได้ว่าอยากให้มนุษย์ด้วยกันมาเป็นเจ้านาย” พูดจบซามูเอลก็สั่งให้อิสราเอลเข้าเฝ้าพระเจ้าเรียงตามเผ่าของตัวเอง
ดู1ซมอ.10:20-22 ซามูเอลรับบัญชาจากพระเจ้าให้หากษัตริย์ให้คนอิสราเอลด้วยการจับฉลาก (ความจริงมีอยู่สองคนที่รู้ตั้งแต่แรกแล้ว..ว่าพระเจ้าเลือกใคร ก็คือซามูเอลกับซาอูล) อันนี้เท่ากับถูกกำหนดไว้แล้ว และข้อนี้ก็บอกว่า..ในชั้นแรกเลือกได้เผ่า”เบนยามิน” จากเผ่าเบนยามินก็จับได้”ตระกูลมัตรี” จากตระกูลมัตรีก็มาลงที่ “ซาอูล” เพราะฉะนั้น นี่เท่ากับเป็นหมายสำคัญอีกครั้ง..ว่าพระเจ้าเลือกซาอูล แต่พอประกาศผลแล้วกลับหาซาอูลไม่เจอ
ดู1ซมอ.10:22-24 พอหาซาอูลไม่เจอ ซามูเอลก็ถามพระเจ้า พระเจ้าก็บอกว่า”ซาอูลหนีไปซ่อนอยู่ในกองสัมภาระ..(เด็กๆต้องจำไว้ วันข้างหน้าถ้าพระเจ้าทรงเรียกเราด้วยพระประสงค์ที่เจาะจงในลักษณะอย่างงี้ อย่าทำอะไร..เหมือนซาอูล ที่หนีไปซ่อนอยู่ในกองสัมภาระ แต่จงขานรับเสียงเรียกของพระองค์เหมือนซามูเอล..บอกพระเจ้าว่า..ลูกอยู่นี่ขอทรงตรัสเถิด แล้วลูกจะกระทำตามพระประสงค์จนสุดกำลัง) ข้อที่23 บอกว่า..ประชาชนก็ไปเอาตัวซาอูลมาให้ซามูเอล พอประชาชนเห็นซาอูล..ก็ประทับใจกันใหญ่..เพราะหล่อมาก..สูงใหญ่สง่างาม แล้วพวกเขาก็ร้องว่า ”ขอพระราชาทรงพระเจริญ” คือทุกคนก็พร้อมใจกันสรรเสริญกษัตริย์ที่พระเจ้ามอบให้ (ตามพระทัยคนอิสราเอล)
จากนั้นซามูเอลก็มีการทบทวนสิทธิและหน้าที่ของกษัตริย์ให้คนอิสราเอลฟังอีกครั้งนึง คล้ายๆจะเตือนแล้วเตือนอีกนะ..ว่ากษัตริย์มีสิทธิพิเศษมากขนาดไหน..แต่ก็ไม่มีใครฟัง หลังจากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันกลับไป ซาอูลก็กลับบ้าน..แต่มีนักรบติดตามเขาไปด้วยเพราะพระเจ้าจัดให้ คือดลใจให้ตามไปรับใช้
ข้อที่27 บอกว่า..มีคนอัธพาลพูดว่า”ชายคนนี้จะช่วยเราได้ยังไง..” คือ คนที่ไม่เห็นด้วยไม่ชอบซาอูล..ก็มีเหมือนกัน แต่จะไม่ชอบเพราะอะไรเราไม่รู้ แต่พระคำภีร์เรียกคนกลุ่มนี้ว่า “อันธพาล” ทำไมเขาถึงถูกเรียกอย่างงั้น ก็จริงๆแล้วคนพวกนี้ทำบาป..เพราะการที่ซาอูลได้เป็นกษัตริย์เนี่ยใครเป็นคนเลือก..(ไม่ใช่พระเจ้าเหรอ) ในเมื่อพระเจ้าเป็นคนเลือกแล้วคุณไม่ยอมรับคนที่พระเจ้าเลือก..คุณก็ผิดแล้ว..เพราะไม่ไว้ใจพระเจ้า..ไม่ยอมรับสิ่งที่พระองค์เลือก เรียกว่าอันธพาลน้าตุ๊กว่ายังน้อยไป เพราะไม่ว่ายังไงเราต้องวางใจในผู้นำ ในสถานการณ์ และในทุกสิ่งที่พระเจ้าเลือก ถึงแม้สติปัญญา(อันโง่เขลา)ของมนุษย์จะแอบขัดแย้ง แต่จงสังวรณ์ไว้เสมอว่า..พระปัญญาของพระเจ้าล้ำเลิศเหนือทุกสิ่งในมหาจักรวาล แล้วสิ่งที่เด็กๆต้องจำไว้เสมอก็คือ..หลายครั้งพระเจ้าก็เลือกผู้เล็กน้อยอย่าง”กิเดโอน” เลือกลูกโสเภณีที่เติบโตมาในหมู่นักเลงหัวไม้อย่าง”เยฟธาห์” ให้เป็นผู้นำของอิสราเอล พระเจ้าไม่ได้เลือกแต่คนที่ดีพร้อม และสิ่งนี้ก็สำแดงให้เห็นถึง"ความบริสุทธิ์ยุติธรรมและความยิ่งใหญ่ของพระองค์"เพราะไม่ว่ามนุษย์จะคิดยังไง "พระเจ้าก็คือพระเจ้า" พระองค์ไม่ต้องการคำปรึกษาของมนุษย์ มีแต่มนุษย์ที่ต้องปรึกษาพระองค์ และจะไม่มีใครเปลี่ยนแปลงความจริงในเรื่องนี้ได้ พระคำภีร์ยังบอกต่อไปว่า..คนส่วนใหญ่ที่ชอบซาอูลก็เอาเครื่องบรรณาการมาถวาย แต่พวกอัธพาลก็ไม่สนใจ..เพราะชั้นไม่ชอบคนนี้ แต่ซาอูลก็นิ่งๆตอนนี้เขายังไม่โต้ตอบใคร (แต่เราต้องดูกันยาวๆ ว่าเขาจะนิ่งอีกนานแค่ไหน)
(บทที่11) “ซาอูลรบชนะคนอัมโมน” (เราจะมาดู”วีรกรรมครั้งแรกของซาอูล” ที่ทำให้คนอิสราเอลประทับใจไปตามๆกัน)
ดู1ซมอ.11:1-3 ข้อนี้บอกว่า นาหาชคนอัมโมนยกทัพมาล้อมเมืองยาเบชกิเลอาช ของอิสราเอล แล้วประกาศอย่างท้าทายเลยว่า..เขาจะควักลูกตาข้างขวาของคนอิสราเอลทุกคน เพื่อให้อยู่อย่างอับอายขายหน้า พูดเหมือนอิสราเอลเป็นตุ๊กตา..แล้วมีเจ้าของเป็นคนซาดิศม์จะเล่นหักแขนหักขายังไงก็ได้ตามความพอใจ แต่คำขู่ของนาหาชก็ทำให้คนอิสราเอลตกใจกลัวเหมือนกัน ข้อที่3 บอกว่า พวกผู้นำของเมืองยาเบชก็ไปต่อรองกับนาหาช บอกว่าขอเวลาเจ็ดวัน..จะไปหาคนมาช่วย ถ้าไม่มีใครมาก็จะยอมจำนนให้กับพวกอัมโมน.. (นี่ขอตรงๆเลยนะ ขอไปหาตัวช่วยก่อน..เผื่อรอด ซึ่งจริงๆแล้วในสนามรบ เรื่องอย่างงี้มันขอกันได้มะ.. ไม่มีใครให้เวลาใครหรอก..แค่เผลอยังไม่ได้เลย แต่นาหาชกลับให้เวลาคนอิสราเอลตามคำเรียกร้อง แปลกมั๊ยล่ะ)
ดู1ซมอ.11:5-7 ได้มีการส่งผู้สื่อสารจากเมืองยาเบชไปที่เมืองกิเบอาห์ถิ่นของก.ซาอูล พอประชาชนรู้ข่าวการขู่ทำร้ายของนาหาช..ก็ร้องไห้กันใหญ่ ส่วนซาอูลพอกลับจากไร่มารู้เรื่องเข้า..ก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แต่ความโกรธของซาอูลในครั้งนี้เป็นมาโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะข้อที่6 บอกไว้ชัดเจนว่า..เมื่อซาอูลได้ยินเรื่องราวที่ชาวบ้านเล่าให้ฟัง “พระวิญญาณของพระเจ้าก็สถิตกับท่านอย่างมาก และความโกรธก็เกิดขึ้นอย่างรุนแรง” เรื่องนี้บอกอะไรเรามั่ง..พระคำภีร์ข้อนี้ทำให้เรารู้ว่า “จริงอยู่..ความโกรธส่วนใหญ่เป็นความบาปและไม่ได้มาจากพระเจ้า แต่การโกรธของซาอูลครั้งนี้..พระคำภีร์บอกไว้ชัดเจนว่า..เป็นผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์” ถ้าจะให้พูดตรงๆก็คือ..”มีบางครั้งเหมือนกันที่คริสเตียนสมควรจะโกรธ” เรื่องนี้สอนยากมาก เพราะมันล่อแหลมสุดๆ..เด็กๆต้องติดสนิทกับพระเจ้า ถึงจะแยกได้ขาด..ว่าความโกรธอันไหนมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ แล้วอันไหนมาจากเนื้อหนังของเราเอง ถ้ายังไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร จำประเด็นนี้ไว้ก่อน แขวนมันไว้ในใจ..เดี๋ยวซักวันพระเจ้าจะส่งสถานการณ์ตัวอย่างมาให้ (case study จะตามมาทีหลัง)
ดู1ซมอ.11:7-8 ข้อนี้บอกว่า..เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ดลใจให้ซาอูลโกรธมาก..เขาก็ฟันวัวคู่หนึ่งออกเป็นท่อนๆแล้วส่งชิ้นส่วนไปทั่วอิสราเอล..ทำอย่างงี้เพื่ออะไร..เป็นการประกาศให้พี่น้องอิสราเอลร่วมใจกันออกมารบ แล้วยังเตือนด้วยว่า..ถ้าใครไม่ออกมาช่วยรบ..วัวของคนนั้นก็จะมีสภาพเดียวกันนี้ ข้อที่8บอกว่า..ซาอูลนับชาวอิสราเอลที่ออกมาร่วมรบได้มากถึง 330000 คน และสุดท้ายพระเจ้าก็ทรงกระทำให้อิสราเอลได้ชนะพวกอัมโมน..ภายใต้การนำทัพของซาอูลเป็นครั้งแรก
ดู1ซมอ.11:14-15 ซามูเอลเรียกประชุมคนอิสราเอลที่กิลกาล..เพื่อรื้อฟื้นราชอาณาจักร เวลารื้อฟื้นราชอาณาจักร ก็จะมีการการทบทวนถึงพันธสัญญาระหว่างพระเจ้ากับคนอิสราเอล..เพื่อเตือนความจำให้คนอิสราเอลสังวรณ์ถึงพระบัญญัติของพระองค์ แล้วการประชุมครั้งนี้ก็มีการเจิมตั้งซาอูลให้เป็นกษัตริย์ต่อหน้าพระเจ้าด้วย คนอิสราเอลรู้สึกว่าซาอูลเนี่ยเหมาะสมมากที่จะเป็นกษัตริย์ของพวกเขา...มาถึงก็ทำให้อิสราเอลได้รับชัยชนะ.ความรู้สึกของประชาชนก็คือโอโห..คนนี้ใช่เลย
แต่ความจริงมันใช่อย่างที่เขาคิดมะ..ไม่ใช่เลย เด็กๆต้องจำไว้และวางใจให้ได้ เพราะไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ จะสุขหรือทุกข์ จะสำเร็จหรือล้มเหลว..พระเจ้าก็ควบคุมทั้งนั้น มันไม่เกี่ยวอะไรกับผู้นำเลยหรือมนุษย์หน้าไหนเลย แต่ตอนนี้คนอิสราเอลยังหลงผิดอยู่ ซามูเอลจึงจำเป็นต้องรื้อฟื้นราชอาณาจักรของพระเจ้า..หมายถึง เตือนความจำให้พวกเขาระลึกถึงพันธสัญญา รวมถึงเรื่องราวเก่าๆ การช่วยกู้ครั้งแล้วครั้งเล่าชองพระเจ้าที่มีต่อคนอิสราเอล
คำปราศรัยของซามูเอล
ดู1ซมอ.12:3-4 พระธรรมตอนนี้เป็นการพิสูจน์ตัวเองของซามูเอลต่อหน้าพระเจ้าแล้วก็ต่อหน้าคนอิสราเอลทั้งประเทศด้วย อันนี้น่าจะสืบเนื่องมาจากที่คนอิสราเอลกล่าวหาเขาไว้ในบทที่ 8...คือตอนนั้นคนอิสราเอลหาเรื่องจะเรียกร้องขอกษัตริย์ โดยอ้างเหตุผลว่าลูกของซามูเอลไม่สัตย์ซื่อเหมือนพ่อ ทั้งๆที่ซามูเอลก็ยังไม่ได้แต่งตั้งลูกให้เป็นปุโรหิตเลย...มาถึงตอนนี้ ซามูเอลก็เลยไม่อ้อมค้อมเอาเรื่องนี้มาเคลียร์ตรงๆเลย แล้วก็ท้าให้ประชาชนหาข้อบกพร่องของเขาด้วย
ในข้อแรกซามูเอลบอกว่า..เขาเคยริบโคหรือเอาลาของใครไปบ้าง..ความหมายก็คือซามูเอลกำลังจะบอกว่าเขาไม่เคยโกงหรือเอาเปรียบใคร และข้อต่อไปซามูเอลก็พูดว่า..ข้าพเจ้ารับสินบนจากผู้ใดและกระทำให้ตาของข้าพเจ้าบอดไป.ก็หมายถึงเขาไม่เคยใช้อำนาจไปในทางที่ผิด ไม่เคยรับสินบนแล้วบิดเบือนคำพิพากษา สุดท้ายซามูเอลบอกว่า..ถ้าใครคิดว่าสิ่งที่เขาพูดไม่เป็นความจริง คือเขาไม่บริสุทธิ์ยุติธรรมจริงก็ให้คัดค้านได้เลย..แต่คำตอบคือ”ไม่มี” คนอิสราเอลยอมรับว่า..ซามูเอลรับใช้พระเจ้าด้วยความสัตย์ซื่อและบริสุทธิ์ใจมาตลอด
ดู1ซมอ.12:6-7 หลังจากที่ซามูเอลท้าพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองแล้ว ทีนี้ก็ถึงตาประชาชนมั่ง...
ซามูเอลเริ่มฟื้นความทรงจำให้คนอิสราเอล ด้วยการพูดถึงประวัติศาสตร์ในสมัยอพยพว่า “พระเจ้าทรงเป็นผู้แต่งตั้งโมเสสกับอาโรน และทรงนำบรรพบุรุษออกจากแผ่นดินอียิปต์” คำว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้แต่งตั้งโมเสสกับอาโรน หมายความว่าไง..ไม่ใช่โมเสสกับอาโรนนะ..ที่ช่วยกู้คนอิสราเอลให้พ้นจากการเป็นทาส..แต่เป็นพระเจ้า จริงอยู่ที่พระเจ้าแต่งตั้งผู้นำและทรงใช้มนุษย์..เหมือนในครั้งนั้นที่ใช้โมเสส แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าโมเสสเป็นคนช่วยให้ยิวได้รับอิสรภาพ เพราะไม่ว่าผู้นำจะเป็นใครพระเจ้าก็ยังเป็นผู้ควบคุมอยู่ดี
ในข้อที่7 บอกว่า”ฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงยืนนิ่งอยู่ ข้าพเจ้าจะเสนอคดีของท่านต่อพระเจ้า..” ตอนนี้ถึงตาคนอิสราเอลต้องตกเป็นจำเลยมั่ง ซามูเอลกำลังจะไต่สวนแล้วก็แจ้งข้อหาความผิดบาปที่พวกเขากระทำต่อพระเจ้า โดยการเชื่อมโยงเรื่องราวตั้งแต่สมัยอพยพ โยชูวา ผู้วินิจฉัย ให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน คือมาจบลงที่เรื่องของซามูเอล
ดู1ซมอ.12:12-13 จริงๆแล้วเนี่ย..อิสราเอลก็มีปัญหามาตลอด ตั้งแต่สมัยอพยพ ในถิ่นทุรกันดาร ในสมัยของโยชูวา มาจนถึงผู้วินิจฉัย ซามูเอลเชื่อมโยงเรื่องเก่าๆไล่มาจนถึงยุคปัจจุบัน ล่าสุดที่คนอัมโมนมาข่มขู่คนอิสราเอล..จนในที่สุดภายใต้การนำของก.ซาอูล อิสราเอลก็ได้ชัยชนะ..แต่ นั่นยังไม่ใช่ประเด็นที่ซามูจะเอลพูดถึง
เพราะสิ่งที่เขาอยากจะบอกจริงๆก็คือ..ในสมัยก่อนหน้าเนี้ยเมื่อไหร่ก็ตามที่อิสราเอลต้องเจอกับปัญหาไม่ว่าเรื่องอะไร พวกเขาจะเข้าใจดีว่า..ปัญหาที่เกิดขึ้นมันเป็นเพราะพวกเขาทำบาป แล้วคนอิสราเอลในสมัยโบราณก็จะสำนึก กลับใจใหม่แล้วขอให้พระเจ้าช่วย..”แต่สิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับคนอิสราเอลที่กำลังยืนอยู่ต่อหน้าซามูเอลตอนนี้” คนเหล่านี้ที่ยืนฟังซามูเอลพูดอยู่เนี่ย..ไม่รับรู้ว่าความบาปหรือความบกพร่องของตัวเอง...คือสาเหตุที่ทำให้พวกเขาเดือดร้อน แต่โยนความผิดไปให้กับ “ผู้นำ” โทษว่าซามูเอลไม่ดีพอ..แล้วก็มาร้องขอกษัตริย์กันปาวๆ อย่างที่ทำกันอยู่เนี่ย..ในข้อที่14 ซามูเอลบอกว่า..จงดูพระราชาที่พวกท่านร้องขอ และดูเถิดพระเจ้าก็ทรงตั้งพระราชาไว้เหนือท่านแล้ว” ความหมายของซามูเอลคือ..อยากได้..ก็จัดให้ แต่คนอิสราเอลต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองเลือก..
หมดเวลาแล้วค่ะ ประเด็นนี้ยังไม่จบ..พบกันสัปดาห์หน้า
พระเจ้าอวยพรค่ะ