วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

หนังสือ1ซามูเอล ครั้งที่5 อาทิตย์ที่ 21:2:2010

ดู1ซมอ.8:11-14/15-18 อิสราเอลต้องจ่ายราคาแพงมากสำหรับระบบกษัตริย์ที่พวกเขาร่ำร้องอยากจะมี..ซามูเอลนำพระวจนะของพระเจ้ามาถ่ายทอดให้ประชาชนฟังอย่างครบถ้วน เริ่มต้นจากข้อที่11 “พระราชาจะเกณฑ์ลูกชาย เข้าประจำการให้กองทัพอยู่ในสภาพที่พร้อมรบเสมอ ไม่เหมือนแบบเดิมในสมัยผู้วินิจฉัย..ที่ไม่มีกษัตริย์ ก็ไม่ต้องมีพระราชวัง ไม่ต้องมีกองกำลังทหาร (ที่จะต้องstand by ไว้ตลอด) อาจจะขึ้นทะเบียนไว้เฉยๆ แต่ลูกชายไม่ต้องไปประจำการ เพราะฉะนั้น เมื่อไม่ต้องประจำการ.. ก็ไม่ต้องมีที่ทำการของราชการ พนักงานหรือที่ปรึกษาอะไรทั้งนั้น การร่วมรบในสมัยผู้วินิจฉัยจะเป็นแบบ”เฉพาะกิจ”งบประมาณต่ำเพราะมีพระเจ้าเป็นกษัตริย์..แค่นั้นพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องพรั่งพร้อมมากมาย..เราก็ชนะ
ข้อที่13 บอกว่า”กษัตริย์จะนำบุตรสาวของเจ้าไปปรุงเครื่องหอม ทำครัว” ประชาชนก็ต้องทำใจที่จะต้องสละลูกของตัวเองให้ไปรับใช้ในวังแทนที่จะอยู่รับใช้พ่อแม่ ข้อที่14 “พระองค์จะเอานา สวนมะกอกเทศ สวนองุ่นที่ดีที่สุด ให้แก่พวกข้าราชการ” เพราะไม่ใช่แค่กษัตริย์ที่ต้องกินดีอยู่ดี แต่ข้าราชการและผู้รับใช้ก็ต้องกินต้องใช้เหมือนกัน แล้วส่วนนี้..ประชาชนต้องเป็นคนจ่าย โดยข้อที่15และ17 บอกว่า”กษัตริย์จะชักหนึ่งในสิบของผลผลิตทางการเกษตรของประชาชน ไปเป็นค่าใช้จ่ายของทางราชการ สุดท้ายในข้อที่18 ซามูเอลจบด้วยคำพยาการณ์ว่า “วันหนึ่งข้างหน้าพวกเขาจะร้องขอให้พระเจ้าช่วยเพราะถูกกดดันจากกษัตริย์ที่ตัวเองอยากได้ และพระเจ้าจะไม่ฟังเพราะเตือนแล้ว..แต่ยังไงก็ตามณ.จุดนั้นคนอิสราเอลยังยืนยันที่จะเชื่อตัวเอง..ไม่ฟังเสียงพระเจ้า
ดู1ซมอ.8:19-22 เป็นอันว่าคำเตือนไม่มีความหมาย ข้อที่19 บอกว่า “ประชาชนไม่ยอมฟังเสียงที่พระเจ้าเตือนผ่านซามูเอล ยืนยันจะมีกษัตริย์ให้ได้ “ ซามูเอลเลยไปทูลพระเจ้าถึงคำยืนยันของประชาชน ความจริงไม่ต้องทูลพระเจ้ารู้มั๊ย..ว่าคนอิสราเอลตัดสินใจยังไง พระองค์รู้แน่นอนแต่ซามูเอลคงทุกข์ใจมาก..การไปทูลพระเจ้า น่าจะเป็นในลักษณะที่เขาปรับทุกข์กับพระเจ้ามากกว่า แล้วในข้อที่22”พระเจ้าก็บอกให้ซามูเอลเจิมตั้งกษัตริย์ให้อิสราเอลคนหนึ่งตามที่พวกเขาเรียกร้อง แต่จะเป็นใครยังไม่รู้..ให้ทุกคนกลับไปรอฟังข่าวที่บ้าน
เราจะเห็นว่า ในที่สุดพระเจ้าก็ยอมให้อิสราเอลได้มีกษัตริย์ ซึ่งมันทำให้เรารู้สึกว่า..ทำไมนะอิสราเอลถึงไม่รู้จักพอใจในพระคุณซะที คำตอบที่น่าจะเป็นไปได้ก็คือ เพราะพระคุณของพระเจ้าเป็นของฟรี แต่ธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนมีความเย่อหยิ่ง (เป็นเชื้อบาปที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด) จิตใต้สำนึกมันก็เลยปฏิเสธ..ไม่อยากได้พระคุณ (อาจจะโดยไม่รู้ตัว) เพราะพระคุณไม่ตอบสนองความภาคภูมิใจให้เนื้อหนัง แถมพระเจ้ายังไม่เจาะจงคุณสมบัติของผู้รับอีกด้วย เด็กๆนึกออกมะ..ไม่ว่าเราจะเป็นใคร มาจากไหน มีฐานะหรือหน้าตายังไง ขอแค่เชื่อ..พระเจ้าให้เลย
แต่มนุษย์รับไม่ได้ มันง่ายไป ก็ชั้นยังไม่ได้ปลดปล่อยศักยภาพหรืออีโก้ส่วนตัวเลย แล้วจะภูมิใจได้ไง ยืดไม่ได้แถมยังต้องถ่อมใจอีกต่างหาก เพราะฉะนั้น..ทั้งอิสราเอลและรวมถึงมนุษย์ทุกคนไม่มีใครเลย..ที่จะเชื่อพระเจ้าได้ด้วยตัวเอง สุดท้ายพระเจ้าก็ต้องช่วยอีก ประทานความเชื่อให้โดยอัศจรรย์ที่มาจากพระองค์ เพราะถ้าจะรอให้มนุษย์เชื่อโดยกำลังของตัวเอง..คงไม่มีวัน เพราะงั้น จะไม่มีใครซักคนที่อวดได้ว่าชั้นเชื่อ..ด้วยสติปัญญาของตัวเอง เปิดไปดูเอเฟซัส 2:8-9 พระคำภีร์ข้อนี้ยืนยันชัดเจน ใครก็ตามที่เชื่อก็เชื่อโดยพระคุณของพระเจ้า พระเจ้าเป็นผู้เลือกเรา ไม่ใช่เราเลือกพระองค์ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อจะไม่มีใครซักคนที่อวดได้(..ว่าที่เชื่อเพราะชั้นฉลาด หรือมีอะไรพิเศษกว่าคนอื่น) แล้วก็ไปดูถูกคนอื่น หรือดูถูกคนที่เขาไม่เชื่อ
สรุปแล้วคนอิสราเอลก็ไม่ฟังคำเตือนที่พระเจ้าตรัสผ่านซามูเอล แต่เต็มใจที่จะจ่ายราคาให้กษัตริย์ที่จะมาปกครอง บางทีพวกเขาอาจจะคิดว่า..ยังไงก็คุ้มเพราะอะไร
เปิดไปดูผวฉ.6:1-6 เพราะพระอาชญาที่พวกเขาต้องรับเวลาที่กบฎต่อพระเจ้า..ดูเหมือนจะแพงกว่า ข้อนี้บอกว่า...”ในวาระของการถูกพิพากษาคนอิสราเอลจะถูกคนอามาเลข คนเรเดียน แล้วก็อีกหลายๆชาติ ทำลายแล้วก็ปล้นเอาทุกอย่างไปจนไม่มีอะไรเหลือ” (อิสรภาพก็ไม่มี เหมือนที่กิเดโอนต้องแอบไปนวดข้าวในบ่อย่ำองุ่น) เพราะงั้นอิสราเอลคงจะแอบปฏิเสธพระเจ้าในใจ อยากให้มนุษย์ด้วยกันมาเป็นกษัตริย์ คงคิดว่าถึงต้องจ่ายภาษีก็ยังดีกว่าถูกพิพากษา (แล้วไม่เหลืออะไรเลย) แต่พวกเขาคิดผิด..เพราะภาษีเป็นสิ่งที่เขาต้องจ่ายเพิ่ม นอกเหนือจากคำพิพากษา ไม่ใช่ว่า..มีกษัตริย์แล้วพวกเขาจะพ้นจากพระอาชญาเมื่อทำบาป แต่กว่าจะรู้ว่ามนุษย์พึ่งพาไม่ได้ มันก็สายไปแล้ว” เพราะตอนเนี้ย..ใจมันกบฎก็เลยหูหนวกตาบอดไม่สนใจอะไรทั้งนั้น รู้แต่ว่าเดินตามกฎของพระเจ้ามันไม่สนุก..อยากทำอะไรที่มันตามใจตัวเองมากกว่านี้ พระเจ้าถึงบอกว่า ”คนอิสราเอลไม่ได้ปฏิเสธซามูเอลในฐานะผู้วินิจฉัย แต่พวกเขากำลังปฏิเสธพระเจ้าไม่ยอมให้พระองค์เป็นผู้ครอบครองชีวิต (และจิตวิญญาณ)” ซึ่งมันน่าตกใจมาก!
พระเจ้าเลือก”ซาอูล”เป็นกษัตริย์
ดู1ซมอ.9:1-5 พ่อของซาอูลชื่อ คีช เป็นคนมีชื่อเสียงอยู่ในเผ่าเบนยามิน เลยนับว่าซาอูลมาจากตระกูลดี และอีกอย่างที่เรารู้ก็คือซาอูลเป็นคนสูง..หน้าตาดี รูปลักษณ์ภายนอกดูแล้วก็น่าจะโดนใจคนอิสราเอล ข้อที่3 บอกว่า..วันหนึ่งลาของพ่อซาอูลหายไปไร่ คีชก็เลยให้ซาอูลพาคนใช้ออกไปตาม สามวันผ่านไปก็ยังหาลาไม่เจอ ซาอูลเลยถอดใจคิดว่ากลับบ้านดีกว่า..เดี๋ยวพ่อจะเป็นห่วง เพราะตอนแรกก็คงจะห่วงลาอยู่หรอก แต่ถ้าหายไปหลายวัน..มันจะกลายเป็นห่วงลูก
ดูต่อ1ซมอ.9:6-8 คนใช้ของซาอูลจำได้ว่าเมืองนี้เป็นที่อยู่ของ “คนของพระเจ้า” หมายถึงผู้เผยพระวจนะหรือสมัยก่อนเรียกว่าผู้ทำนายซึ่งตอนนั้นก็คือซามูเอล คนใช้แนะนำให้ซาอูลไปหาซามูเอล เผื่อจะบอกได้ว่าลามันไปทางไหน ซาอูลก็เห็นด้วย..ติดอยู่แต่ว่าเขาไม่มีของไปกำนัลผู้เผยพระวจนะ..เสบียงก็หมดแล้ว คือไม่กล้าไปขอความช่วยเหลือฟรีๆ แต่คนใช้บอกว่าเขามีเหรียญเงินอยู่อันหนึ่ง..น่าจะใช้ได้ ก็เลยโอเค.ทั้งคู่เลยได้ไปหาซามูเอล โดยไม่รู้ตัวว่าการตัดสินใจครั้งนี้มันจะทำให้เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตบ้าง
..พอทั้งคู่เข้าไปใกล้ที่อยู่ของซามูเอล พวกเขาก็เจอผู้หญิงคนหนึ่งกำลังเดินไปตักน้ำก็เลยถามหาผู้ทำนาย ผู้หญิงคนนั้นก็บอกว่าซามูเอลยังอยู่ที่บ้าน ถ้ารีบๆหน่อยก็จะได้เจอเพราะเขากำลังจะไปถวายเครื่องสัตวบูชา แต่ถ้าไปไม่ทันก็ต้องรอจนเสร็จพิธีถึงจะได้พบ
ดู1ซมอ.9:15-16 วันก่อนหน้านี้พระเจ้าได้บอกซามูเอลไว้ล่วงหน้าแล้ว..ว่าในวันรุ่งขึ้นเขาจะได้พบกับคนที่จะมาเป็นกษัตริย์องค์แรกของอิสราเอล พระเจ้าบอกเรียบร้อยเลยว่าคนเนี้ยจะมาจากเผ่าเบนยาบินนะ ซามูเอลต้องเจิมตั้งคนนี้แหละ..ให้เป็นกษัตริย์ของอิสราเอล แล้วเขาจะเป็นคนที่ช่วยให้อิสราเอลรอดพ้นจากมือของพวกฟิลิสเตียด้วย
ดู1ซมอ.9:17-19 ขณะที่ซามูเอลเห็นซาอูลเดินเข้ามาหา พระเจ้าก็บอกย้ำกับซามูเอลอีกครั้งหนึ่ง..ว่าคนนี้แหละ ซามูเอลถึงได้แน่ใจว่าคนที่กำลังเดินเข้ามาเนี่ย..คือผู้ที่พระเจ้าเลือกแน่ๆ พอซาอูลเดินมาถึงก็ถามซามูเอลว่า “ช่วยบอกหน่อย..บ้านผู้ทำนายอยู่ไหน” ซามูเอลเลยตอบว่า”เราเองคือผู้ทำนาย” แต่ก่อนที่ซาอูลจะพูดอะไรต่อไป ซามูเอลก็สั่งการเป็นฉากๆให้ซาอูลเดินนำหน้าขึ้นไปบนสถานสูงที่กำลังจะมีการถวายสัตวบูชา นอกจากนี้ เขายังต้องอยู่ร่วมรับประทานอาหารและค้างคืนที่นั่นด้วย แล้วตอนเช้าก่อนจะกลับ..ซามูเอลจะบอกทุกเรื่องที่ซาอูลอยากรู้ ...ถึงตอนนี้ซาอูลคงจะรู้สึกงงๆ เพราะมาถึงยังไม่ทันพูดอะไรเลย..ซามูเอลก็บอกให้ทำนั่นทำนี่เยอะแยะไปหมด แล้วประโยคต่อไปที่ซามูเอลกำลังจะพูด ซาอูลจะไม่ใช่แค่งงแต่คงอึ้งไปเลย
ดู1ซมอ.9:20-21 ซามูเอลบอกว่า “ส่วนไอ้เรื่องลาที่หายไปสามวันน่ะ ไม่ต้องห่วงนะ..เขาหากันเจอแล้ว อึ้งมั๊ยล่ะ..ตั้งแต่มายังไม่ได้พูดซักคำ แล้วรู้ได้ไงว่าเขาจะมาถามเรื่องลาที่หาย..แล้วรู้ด้วยว่าหายไปกี่วัน..แถมยังบอกว่าไม่ต้องห่วง..เพราะมีคนเจอแล้ว เสร็จแล้วซามูเอลก็พูดอีก
“ความปรารถนาของคนอิสราเอลนั้นมุ่งหมายเอาใครเล่า ไม่ใช่ตัวท่านและพงพันศ์ของบิดาท่านหรอกหรือ” น้าตุ๊กว่า..คำพูดนี้ซาอูลน่าจะพอเข้าใจนะ เพราะสิ่งที่คนอิสราเอลมุ่งหมาย อยากได้ ตั้งตารอในตอนนั้นก็มีอยู่อย่างเดียวคือ “กษัตริย์” เพราะฉะนั้นพอซามูเอลพูดอย่างงี้ ซาอูลต้องเข้าใจแต่ไม่อยากเชื่อ..ว่ามันจะเป็นไปได้ เพราะข้อที่21 ซาอูลแย้งว่า เขาไม่ใช่คนเผ่าใหญ่ ไม่ได้มาจากตระกูลดัง แล้วทำไมซามูเอลมาพูดเหมือน “เขาคือคนที่ชาติต้องการ” ซะขนาดนั้น
ดู1ซมอ.9:22-24 ซามูเอลพาซาอูลกับคนรับใช้เข้าไปในห้องโถงที่จัดไว้สำหรับรับประทานอาหาร แล้วก็ให้ซาอูลนั่งตรงหัวโต๊ะ ซึ่งปกติแล้วจะเป็นที่ของคนสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะอาหารหรือโต๊ะประชุมก็เหมือนกัน ข้อที่23 ซามูเอลบอกคนครัวว่า ให้เอาเนื้อที่เขาสั่งให้เก็บไว้ออกมา..นี่แสดงว่าเขาเตรียมการรับรองไว้ล่วงหน้า สรุปว่าแขกที่ไม่ได้รับเชิญในการนี้เลยกลายเป็นคนสำคัญตัวจริง
ดู1ซมอ.9:27/10:1 เช้าอีกวันซามูเอลก็ไปส่งซาอูลกลับบ้าน ระหว่างทางที่กำลังเดินไปซามูเอลบอกให้ซาอูลสั่งคนใช้ให้เดินล่วงหน้าไปก่อน พออยู่กันสองคนซามูเอลก็หยิบขวดน้ำมันเจิมลงบนศีรษะของซาอูล แล้วก็บอกว่า”พระเจ้าเลือกเขาให้เป็นกษัตริย์ของอิสราเอล” ถึงตอนนี้ ซาอูลที่อึ้งๆอยู่แล้วตั้งแต่เมื่อวาน..มาตอนนี้คงอึ้งได้อีก แต่ความคลุมเคลือหรือความสงสัยที่ค้างอยู่..คงจะหมดไปละ เพราะสิ่งที่ซามูเอลทำมันยืนยันร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเขาถูกเลือกให้เป็นกษัตริย์ของคนอิสราเอลจริงๆ
ดู1ซมอ.10:2-4/5-7 ซามูเอลรู้ว่าซาอูลจะไม่ยอมรับอะไรง่ายๆ คงเป็นประเภทที่ต้องการ..การคอนเฟิร์ม ก็เลยมีการพูดทำนายล่วงหน้าให้ฟัง..ว่าเดี๋ยวซาอูลเดินกลับไปเนี่ยนะ..เขาจะเจออะไรมั่ง อย่างแรกที่ซามูเอลบอกก็คือ ระหว่างทางที่กลับไปซาอูลจะเจอผู้ชายสองคนริมที่ฝังศพของนางราเชล และสองคนนี้จะพูดเหมือนที่ซามูเอลบอกซาอูล ก็คือเขาหาลาเจอแล้ว แต่ตอนนี้พ่อกำลังเป็นห่วงเขามาก
จากนั้นพอเดินไปอีกนะที่ต้นก่อหลวง ตำบลทาโบร์ ซาอูลจะเจอผู้ชายสามคนกำลังเฝ้าพระเจ้าที่เบธเอล ซามูเอลบอกละเอียดด้วย..ว่าคนหนึ่งอุ้มลูกแพะสามตัว อีกคนมีขนมปังสามก้อน คนสุดท้ายจะถือถุงหนังเหล้าองุ่นแล้วสามคนนี้จะไม่แค่ทักทายซาอูลเฉยๆ...แต่จะแบ่งขนมปังให้เขาสองก้อน..เป็นเสบียงกลับบ้านด้วย (นี่ถ้าหมอดูสมัยนี้แม่นเหมือนซามูเอลนะ..คงรวยเละ ผู้คนก็คงจะแห่กันไปยกเขาเป็นรูปเคารพ หรือไม่ก็เอาแต่นั่งกด1900 1900 *** แต่อย่าหวัง..ตราบใดที่แก้วสารพัดนึกไม่มีวันที่จะอยู่ในมือของผู้ร้าย ตราบนั้นพระเจ้าก็จะไม่มีวันให้ของดีได้ไปอยู่กับพวกเทียมเท็จ แล้วคนของพระเจ้าที่เป็นของแท้และมีของประทานพิเศษ..จะไม่มีวันเห็นแก่เงินทองหรือเกียรติยศ “แล้วฉวยโอกาสหากินบนความอ่อนแอของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน” ..เพราะถ้าทำอย่างงั้น พระเจ้าก็จะทรงปลดลง ให้ต้องพบจุดจบเหมือนบาลาอัม (กดว.31:8)
ดู1ซมอ.10:10-12 ข้อนี้พูดถึงหมายสำคัญครั้งที่สาม ตามที่ซามูเอลบอกไว้ ซึ่งอันนี้สำคัญสุด ซามูเอลบอกว่าซาอูลจะเผยพระวจนะ แล้วเขาก็ทำจริงๆเพราะพระเจ้าทรงสถิต
ข้อที่11บอกว่า..ชาวบ้านที่เคยรู้จักซาอูลมาก่อน พอเห็นเขาเผยพระวจนะก็งง..แล้วก็พูดกันประมาณว่า เอ๊ะ..นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับลูกชายของคีชนะ เดี๋ยวนี้เขาเป็นผู้เผยพระวจนะแล้วเหรอ คือปกติพวกเขาคงเห็นซาอูลเป็นเด็กหนุ่มธรรมดา..ที่ทำไร่เลี้ยงลาไปวัน เพราะฉะนั้น ในเวลาที่พระเจ้าทรงเจิมใครก็ตาม..มันจะมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่คนรอบข้างต้องสังเกตเห็น แล้วการเผยพระวจนะก็เป็นเครื่องหมายที่แสดงให้เห็นว่า..พระเจ้าได้ประทานสิทธิอำนาจในการปกครองอิสราเอลให้ซาอูลแล้วจริงๆ (พวกเราน่าจะจำได้ในสมัยอพยพ ตอนที่โมเสสแต่งตั้งผู้นำ70 คนให้มาช่วยรับภาระการดูแลประชาชน ผู้นำ70คนที่ได้รับการเจิมตั้งก็เผยพระวจนะอยู่ในค่ายเหมือนที่ซาอูลทำอยู่ตอนนี้) และที่สำคัญอีกอย่างคือในข้อที่12 บอกว่า “ดังนั้นจึงเกิดเป็นคำภาษิต..” คำว่า ซาอูลอยู่ในจำพวกผู้เผยพระวจนะด้วยหรือ..กลายเป็นคำสุภาษิต หมายความว่าเกิดเป็นคำพูดที่ใช้บอกเล่าต่อๆกันไปเพื่อว่าคนที่ไม่อยู่ในเหตุการณ์ก็จะได้รู้กันอย่างทั่วถึง..(ว่าตอนนี้พระเจ้าการันตีเขาแล้ว)
ดู1ซมอ.10:14-16 พอซาอูลมาถึงบ้าน..ลุงก็ออกมารับแล้วถามว่าไปไหนมา ซาอูลก็บอก..ไปหาลา หาไม่เจอก็เลยไปถามซามูเอล พอได้ยินชื่อซามูเอลลุงก็หูผึ่ง..ถามใหญ่เลยว่าซามูเอลบอกอะไรมั่ง แต่ซาอูลก็บอกแค่ค่าวๆ คือพูดถึงแต่เรื่องลา ส่วนเรื่องระดับประเทศ..ที่ซามูเอลเจิมเขาเป็นกษัตริย์..ซาอูลไม่พูดถึงเลย
หมดเวลาแล้ว พบกันสัปดาห์หน้า
ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

หนังสือ1ซามูเอล ครั้งที่4 อาทิตย์ที่ 7:2:2010

...หีบพันธสัญญากลับบ้าน...
ดู1ซมอ.6:1-3 หีบพันธสัญญาที่ตกไปอยู่ในมือของคนฟิลิสเตียเป็นเวลา7เดือน กำลังจะถูกส่งคืนให้อิสราเอลอย่างง่ายดาย ไม่ต้องมีการแย่งชิง ไม่ต้องใช้กำลัง ไม่ต้องมีแม้แต่การเจรจาอะไรทั้งสิ้น พวกเขาแค่กำลังตกลงกัน...ว่าจะส่งคืนยังไงดี คนฟิลิสเตียคิดได้แค่นี้ แทนที่เห็นความศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าแล้ว จะยอมละทิ้งรูปเคารพเดิมๆหันมากราบไหว้วางใจในพระองค์ พวกฟิลิสเตียยังเลือก..ที่จะกำจัดพระเจ้าออกไปให้พ้น ...แล้วในข้อที่ 3 ปุโรหิตของพวกฟิลิสเตียก็แนะนำด้วยว่า “เวลาส่งกลับไป ให้เตรียมเครื่องบูชาส่งกลับไปด้วย เพื่อเป็นการไถ่บาปที่พวกเขาได้กระทำต่อพระเจ้า”
ดู1ซมอ.6:5-6 พวกฟิลิสเตียกำลังคิดว่า..จะเอาใจพระเจ้าของอิสราเอลยังไงดี พวกปุโรหิตคิดออกแค่วิธีเดียว คือทำรูปเทียมเลียนแบบปัญหาที่เกิดขึ้น “เป็นฝีห้าลูกกับหนูห้าตัว” (อันนี้น้าตุ๊กจนปัญญาจริงๆไม่รู้ว่าแรงบันดาลใจของพวกเขาคืออะไร) เพราะการถวายรูปฝีกับหนู..ไม่เป็นที่พอพระทัยพระเจ้าแน่นอน ไม่มีเรื่องอย่างนี้ในกฎบัญญัติของพระองค์ แล้วปุโรหิตของพวกฟิลิสเตียก็มั่นใจเลยนะ..ว่าถ้าทำอย่างนี้แล้ว..พระเจ้าน่าจะหายโกรธ และช่วยบรรเทาความโชคร้ายของพวกเขาลงได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับก็คือ..พวกฟิลิสเตียรู้เรื่องพระเจ้ากับประวัติศาสตร์ของคนอิสราเอลอย่างน่าทึ่งเลยล่ะ...
เพราะในข้อที่ 6 คนฟิลิสเตียเขามีการหยิบยกเอาเรื่องราวในสมัยอพยพขึ้นมาเป็นตัวอย่าง แล้วสรุปเสร็จสรรพว่า...พวกเขาจะไม่ทำพลาดเหมือนฟาโรห์ ที่ไม่ยอมปล่อยคนยิวไปทั้งที่ถูกภัยพิบัติเล่นงานจนลากเลือดแต่พวกเขาจะรีบคืนหีบไป..โดยไม่ต้องรอให้เกิดอะไรมากไปกว่านี้ (แหม..เหมือนจะฉลาดกว่าฟาร์โรห์เลยเนอะ)
ดู1ซมอ.6:10-12 คนฟิลิสเตียวางแผนการส่งหีบพันธสัญญาคืนให้อิสราเอล.. ด้วยการใส่ไปบนเกวียนที่เทียมด้วยโคแม่ลูกอ่อนสองตัว โดยที่ลูกโคจะถูกแยกออกไป แล้วปล่อยให้โคเดินไปเองอย่างอิสระ ซึ่งตามสัญชาติญาณแล้ว..มันต้องกลับไปหาลูก แต่ถ้ามันลากเกวียนตรงไปที่ของคนอิสราเอล ก็แปลว่า..พระเจ้าเป็นผู้ที่ทำให้ทุกอย่างเกิดขึ้นแน่นอน แล้วพวกเจ้านายของฟิลิสเตียก็ตามดูไปห่างๆ ปรากฎว่า...แม่วัวตรงดิ่งไปที่เมืองเบธเชเมชของอิสราเอล พอชาวอิสราเอลเห็นหีบพันธสัญญาก็ดีใจกันยกใหญ่ เชิญหีบไปวางไว้บนก้อนหิน รีบเอาเกวียนมาผ่าเป็นฟืนแล้วก็จัดแจงเผาแม่วัวเป็นเครื่องบูชา ดูต่อไปว่าเกิดอะไรขึ้น...
ดู1ซมอ.6:19-20/21-7:1 พระเจ้าทรงประหารคนอิสราเอลหลายหมื่นคน เพราะเขาแอบมองหีบแห่งพันธสัญญา คงจะมีคำถามว่าทำไม..ทำไมพระเจ้าถึงฆ่าคนของพระองค์ซะมากมายขนาดนี้.....เปิดไปดูกดว.4:15/20 กฎบัญญัติของพระเจ้าคือ คนเลวีเท่านั้นที่มีสามารถจะขนย้ายหีบพระโอวาทได้ เพราะพระองค์ทรงชำระคนเผ่านี้ไว้เพื่อปรนนิบัติพระองค์ แต่ถึงอย่างงั้นในข้อที่20 ก็บอกว่าอย่าให้ใครมองของศักดิ์สิทธิ์ในอภิสุทธิสถานแม้แต่นิดเดียว ถ้าใครมองคนนั้นต้องตาย แล้วที่สำคัญชาวเมืองเบธเชเมชคงจะมองหีบพระสัญญาในลักษณะที่เป็นรูปเคารพ..เหมือนของขลังอย่างนึง อาจสงสัยว่าพระเจ้าจะอยู่ในหีบรึเปล่า พระองค์เลยต้องตัดวงจรความไม่เชื่อฟังของอิสราเอลให้เด็ดขาด เพื่อเป็นการดึงให้เขากลับมายำเกรงและเคร่งครัดในกฎบัญญัติอย่างจริงจังซะที เพราะพระเจ้าทรงสัตย์ซื่อในกฎเกณฑ์ของพระองค์เสมอไม่ว่ามนุษย์จะคิดยังไง บางครั้งอาจมองว่าโหดร้าย หรือบางคราวก็สงสัยว่าทำไมพระเจ้าต้องดีขนาดนี้ด้วย..แต่นั่นก็แค่สติปัญญาของมนุษย์ที่ไม่ค่อยจะอยู่กะร่องกะรอย (เพราะเปลี่ยนไปตามองค์ความคิดทั้งภายนอกภายในของแต่ละคน) แต่พระเจ้าทรงเล่นตามเกมส์ พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเสถียรต่อกฎที่พระองค์ตั้งไว้เสมอ
....พอชาวเมืองเบธเชเมชตั้งสติได้ ก็ตกลงกันว่าจะส่งข่าวไปที่เมือง”คีริยาทเยอาริม” ให้มาเชิญหีบพระสัญญาไปไว้ที่เรือนของอาบีนาดับ..โดยการดูแลของเอเลอาซาร์ หีบพระสัญญาก็อยู่ที่นั่นนานถึง20ปี (ทำไมไม่เอาไปไว้ที่ชิโลห์..ก็เพราะมีหลักฐานที่แสดงว่าชิโลห์น่าจะถูกทำลายไปแล้ว)
ดู1ซมอ.7:3-4/5-6 บทที่7นี้จะเป็นบันทึกเรื่องราวตอนที่ซามูเอลเริ่มวินิจฉัยอิสราเอล ชักนำให้พวกเขากลับใจใหม่ ละทิ้งพระเทียมเท็จทั้งหมดหันมา”ปักใจตรงต่อพระเจ้า” และปรนนิบัติพระองค์ผู้เดียว ข้อที่4 บอกว่าคนอิสราเอลก็เชื่อฟัง..เลิกไหว้พระบาอัล พระอัชทาโรท หลังจากนั้น ซามูเอลก็เรียกประชุมคนอิสราเอลที่มิสปาห์ และสัญญาว่าเขาจะเป็นตัวแทนอธิฐานต่อพระเจ้าเพื่อคนอิสราเอล แล้ววันนั้นก็มีการตักน้ำเทออกเพื่อถวายพระเจ้า มีการอดอาหาร..ทั้งประเทศก็คงจะหยุดกิน หยุดดื่ม เพื่อแสดงให้เห็นว่าพวกเขาสำนึกผิดและต้องการที่จะแสวงหาพระเจ้าอย่างจริงใจ
ดู1ซมอ.7:7-8 พวกฟิลิสเตียยังไม่ยอมลามือจากคนอิสราเอลง่ายๆ แล้วคราวก่อนฟิลิสเตียก็เป็นฝ่ายชนะด้วย เลยได้ใจ...พอได้ยินว่าคนอิสราเอลไปประชุมกันที่มิสปาห์ก็รีบยกทัพไปทำสงครามเพราะมั่นใจว่าจะต้องชนะอีก ส่วนอิสราเอลพอเห็นพวกฟิลิสเตียยกทัพมาก็ตกใจ...กลัวจนทำอะไรไม่ถูก ตั้งตัวก็ไม่ทัน..หีบพันธสัญญาก็ไม่อยู่..(แต่ถึงอยู่..ช่วยมะ..ไม่ช่วยหรอก) เพราะฉะนั้น นี่เป็นสถานการณ์ที่มาจากพระเจ้า คือให้เกิดสงครามตอนที่ไม่พร้อม เพราะถ้าพร้อมทีไรมันก็ไปวางใจอย่างอื่นทุกที เลยต้องเจออย่างงี้ ความเชื่อของอิสราเอลถึงจะเต็มขนาดยอมหันมาพึ่งพาพระเจ้าอย่างสุดใจ
พวกเราก็เหมือนกัน..ถ้ายึดติดกับอะไรมากๆ บางทีพระเจ้าก็จำเป็นต้องให้เราเข้าไปอยู่ในทางตันบ้าง..ไม่มีตัวช่วย ไม่มีเงิน ไม่มีเส้น ไม่มีเพื่อน ไม่มีอะไรเลย เพราะจุดนั้นเราจะสัมผัสชัดเจน..ว่าสิ่งเดียวที่สามารถพึ่งพาและช่วยเราได้ตลอดเวลา ก็คือ“พระเจ้า” แล้วเมื่อสถานการณ์คับขันผ่านไป มันจะทำให้เรารู้สึกได้จริงๆว่าถ้าเรามีพระเจ้า...อย่างอื่นก็ไม่จำเป็น
...มันก็ไม่ง่ายอีกเหมือนกันที่จะรู้สึกอย่างงี้ได้จริงๆ แต่เราจะเชื่อได้มากขึ้นถ้าเราฝึก..ฝึกยังไง ก็แค่จัดการกับเรื่องในชีวิตประจำวันของเราให้ถูกต้อง แต่ละวันเจออะไร แล้วแต่ละเรื่องตัดสินใจยังไง เลือกเดินตามที่พระเจ้าสอนรึเปล่าหรือเลือกทำตามใจตัวเอง วิธีเรียนรู้ที่จะดำเนินกับพระเจ้า..ก็แค่เนี้ย ไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องยากๆหรือเรื่องไกลๆ..มันไม่ซับซ้อนขนาดนั้น เอาแค่เรื่องที่อยู่ตรงหน้า..วันต่อวันก็พอ
...และตอนนี้คนอิสราเอลก็กำลังตกอยู่ในภาวะคับขัน พวกเขาพร้อมแล้วที่จะพึ่งพระเจ้าจริงๆซะที ในข้อที่8 บอกว่า..พวกเขาขอให้ซามูเอลอธิฐานเผื่อ วิงวอนให้พระเจ้าช่วยกู้ให้พ้นจากมือพวกฟิลิสเตีย
ดู1ซมอ.7:10-11 ขณะที่ซามูเอลถวายเครื่องเผาบูชาอยู่ กองทัพของพวกฟิลิสเตียก็มาถึง พระเจ้าก็ตอบคำอธิฐานโดยให้เกิดพายุใหญ่มีฟ้าร้องดังกึกก้อง จนกองทัพฟิลิสเตียสับสนอลหม่าน คนอิสราเอลเลยกลับเอาชนะพวกฟิลิสเตียได้..ทั้งที่ตัวเองไม่พร้อม ไม่ได้ตั้งใจมารบเลยด้วยซ้ำ แล้วเมื่อกี๊..ก็ยังกลัวเขาอยู่เลย แต่ตอนนี้ในข้อที่11กลายเป็นว่าคนอิสราเอลกลับเป็นฝ่ายตามฆ่าพวกฟิลิสเตียไปจนถึงเบธคาร์
ดู1ซมอ.7:12-13 เมื่อชนะพวกฟิลิสเตียแล้ว ซามูเอลก็ตั้งศิลาก้อนนึงไว้เป็นอนุสรณ์อยู่ระหว่างเมืองมิสปาห์กับเมืองเชน เรียกชื่อว่า”เอเบนเอเซอร์” แปลว่า “พระเจ้าทรงช่วยพวกเราจนบัดนี้” (แต่น้าตุ๊กอยากจะใช้คำว่า..”พระเจ้ายังอุตส่าห์ช่วยพวกเรามาจนทุกวันนี้ ทั้งๆที่ ก็ผิดกันหัวไม่วางหางไม่เว้น) หลังจากนั้นฟิลิสเตียก็ไม่มารุกรานอิสราเอลอีกเลยตลอดชีวิตของซามูเอล เพราะพระเจ้าทรงค้ำชูอิสราเอลไว้ เมืองต่างๆที่ถูกยึดไปตั้งแต่เอโครนจนถึงเมืองกัทก็ได้คืน แล้วยังมีสันติภาพระหว่างอิสราเอลกับคนอาโมไรต์ด้วย ทำให้รู้สึกว่าอะไรๆก็ดีไปหมดในสมัยของซามูเอล ในข้อที่16 บอกว่า “ท่านก็เที่ยวไปโดยรอบทุกปีเป็นประจำจากเบธเอลไปกิลกาล จากกิลกาลไปมิสปาห์” คือเดินสายดูแลประชาชนอย่างทั่วถึง แต่ทุกครั้งที่เสร็จงานซามูเอลก็จะกลับไปอยู่บ้านที่รามาห์ นอกจากนี้ ซามูเอลก็ยังสร้างแท่นบูชาไว้ที่รามาห์ด้วย
คนอิสราเอลร้องขอกษัตริย์
ดู1ซมอ.8:1-5 พอซามูเอลเริ่มแก่ลง ข้อนี้บอกว่าท่านก็ตั้งลูกชายสองคน คือ โยเอลกับอาบียาห์ ให้เป็นผู้วินิจฉัยแทน และในข้อที่3 ก็บอกว่า “แต่ลูกชายของซามูเอลเนี่ย ไม่เหมือนพ่อ พวกเขาทุจริตและไม่สัตย์ซื่อ” ถ้าจะลองคิดดูดีๆน้าตุ๊กว่า..ตำแหน่งผวฉ.มันไม่ได้สืบทอดทางเชื้อสายนะ..แต่พระเจ้าเป็นผู้เลือก ตรงจุดนี้ทำให้น้าตุ๊กรู้สึกว่า..พระเจ้าทรงสำแดงให้เห็นความจริงอีกข้อหนึ่งคือ”มนุษย์ไม่สามารถสืบทอดความชอบธรรมหรือความดีทางสายเลือด” ส่วนผู้วินิจฉัยที่ดี ผู้เผยพระวจนะแท้ หรือผู้รับใช้ที่เกิดผล ที่เราได้เห็นในพระคำภีร์หรือแม้แต่ในชีวิตจริง..คนเหล่านี้เป็นพระคุณที่มาจากพระเจ้า ที่ประทานพวกเขามาตามวาระที่พระองค์เห็นสมควร เพราะฉะนั้น ในเมื่อความชอบธรรมมันไม่ได้สืบทอดทางสายเลือด มันก็ไม่แปลก..ที่ลูกของซามูเอลจะมีนิสัยบาป แล้วก็ไม่เจริญรอยตามพ่อ
..ข้อที่5 บอกว่า พวกผู้นำของอิสราเอลก็ไปหาซามูเอล แล้วบอกว่า”อยากได้กษัตริย์”โดยอ้างเหตุผลเรื่องเนี้ย..เรื่องที่ลูกชายของซามูเอลเป็นคนทุจริต
ดู1ซมอ.8:6-7 พอได้ยินคนอิสราเอลบอกว่าอยากได้กษัตริย์ ซามูเอลก็ไม่พอใจเพราะถูกทำให้รู้สึกเหมือนบกพร่องในหน้าที่ แต่หลักๆแล้วซามูเอลไม่ได้โกรธที่เขาจะปลดตัวเอง แต่ซามูเอลเข้าใจทันทีว่าเรื่องนี้เป็นความผิดบาป เพราะอิสราเอลมี”พระเจ้า”เป็นกษัตริย์อยู่แล้ว ฉะนั้นตรงนี้ที่จะน่าโกรธก็เพราะมันไปเข้าล็อกเดิม คือพวกเขาอยากได้รูปเคารพ..วางใจในสิ่งที่จับต้องมองเห็น อยากมีกษัตริย์ตัวเป็นๆ..คงรู้สึกว่ามันอุ่นใจหรือไม่ก็คงเบื่อ..ที่จะเล่นตามเกมส์ (ที่มีกฎบัญญัติของพระเจ้าเป็นกติกา) ในข้อที่7 พระเจ้าตรัสกับซามูเอลว่า “คนอิสราเอลไม่ได้ปฏิเสธเจ้า..พวกเขาปฎิเสธพระองค์ต่างหาก” พระเจ้าตรัสอย่างนี้ แปลว่าไร แปลว่าพระองค์รู้..ว่าจริงๆแล้วคนอิสราเอลคิดอะไร ยังยึดติดกับรูปเคารพขนาดไหน พวกเขาอาจจะบอกว่าอยากได้กษัตริย์เพราะลูกชายซามูเอลเป็นคนทุจริตหรือจะยกอะไรมาอ้างก็ได้หมดแหละถ้าคิดว่ามีปาก..แล้วจะพูดอะไรก็ได้ แต่ความจริงคืออะไร..ใจของพวกเขาหรือใจของเราคิดยังไง..พระเจ้ามองเห็น (ทะลุปรุโปร่ง)
ดู1ซมอ.8:8-10 ข้อนี้เหมือนพระเจ้าจะทรงปลอบใจซามูเอล เพราะพระองค์บอกว่า“นี่ไม่ใช่ครั้งแรกนะที่อิสราเอลปฎิเสธพระองค์ แต่มันนิสัยอย่างงี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ตั้งแต่พาออกมาจากอียิปต์ก็กบฎตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้ก็ยังดื้อเหมือนเดิม พออยู่เย็นเป็นสุขเข้าหน่อยก็คอยแต่จะลืมพระเจ้า อยากมีอิสระที่จะทำอะไรตามใจตัวเอง(ทั้งๆที่เอาตัวไม่รอด) เพราะฉะนั้นจะแปลกอะไรถ้าตอนนี้พวกเขาจะไม่ยอมรับซามูเอลเพราะขนาดพระเจ้ามันยังกล้าทิ้งเลย..แล้วซามูเอลจะเหลือมั๊ยเนี่ย
..จากนั้นพระเจ้าก็บอกซามูเอลให้ทำตามที่คนอิสราเอลเรียกร้อง..แต่ก็ยังทรงห่วงพวกกบฎจนหยดสุดท้าย เพราะได้บัญชาให้ซามูเอลเตือนประชาชนให้สังวรณ์ถึง ”ราคาที่พวกเขาต้องจ่าย” สำหรับการมีกษัตริย์..ซามูเอลจึงนำพระวจนะของพระเจ้ามาถึงประชาชน
...หมดเวลาแล้วค่ะ จนกว่าจะพบกันใหม่
พระเจ้าอวยพรค่ะ

วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

หนังสือ 1ซามูเอล ครั้งที่ 3 อาทิตย์ที่ 31:1:2010

ดู1ซมอ.3:2-6 พระเจ้าทรงเรียกซามูเอลเป็นครั้งแรก ในคืนหนึ่งที่เขานอนหลับอยู่ ซามูเอลก็ได้ยินเสียกเรียก...นึกว่าเป็นเสียงของเอลีเพราะปกติแล้วเอลีคงต้องอาศัยไหว้วานให้ซามูเอลหยิบนู่นทำนี่ให้ เพราะตัวเองก็แก่มากแล้วและในข้อที่2ก็บอกไว้ชัดเจนว่า ”ตาของท่านก็เริ่มมืดมัวมองอะไรไม่เห็น” ก็คงจะได้ซามูเอลนี่แหละที่เป็นเหมือนศิษฐ์ก้นกุฏิ หรือปุโรหิตฝึกหัด แต่พอซามูเอลลุกไปหาเอลี..บอกว่าข้าพเจ้าอยู่นี่ เอลีก็บอกว่าไม่ได้เรียกเป็นอย่างงี้อยู่สามครั้ง พอครั้งที่สามเอลีรู้ละ..ว่าคนที่เรียกซามูเอลคือ”พระเจ้า” เอลีก็เลยบอกซามูเอลให้กลับไปนอน แล้วถ้าได้ยินอีกก็ให้ทูลตอบว่า “พระเจ้าเจ้าข้า ขอพระองค์ตรัสเถิด เพราะผู้รับใช้ของพระองค์คอยฟังอยู่” เด็กๆลองคิดดู..ว่าเราตอบพระเจ้าด้วยท่าทีอย่างงี้รึเปล่า ในทุกๆสถานการณ์ที่มาถึงเราหรือทุกครั้งที่เราได้ยินเสียงของพระองค์ เราควรจะตอบพระเจ้าแบบนี้ทุกครั้ง คือ “พระองค์เจ้าข้าขอตรัสเถิด ผู้รับใช้ของพระองค์คอยฟังอยู่” (และกระทำตาม) ไม่ใช่เงี่ยหูฟังแต่เรื่องที่ถูกใจเรา อันไหนไม่ถูกใจก็เฉไฉทำเป็นไม่ได้ยิน เพราะน้าตุ๊กเคยเห็นมาแล้ว...ขนาดหายนะมันเกิดขึ้นต่อหน้า บางคนยังกล้าเมินสิ่งที่พระเจ้าเตือน..เอาแต่นั่งรอพระพรที่ชั้นอยากได้ ตรงจุดนี้เด็กๆต้องเรียนรู้ที่จะดำเนินกับพระเจ้าอย่างถูกต้อง ยอมรับพระองค์ในทุกวิถีทางที่ทรงสำแดงกับเรา..ไม่ใช่เลือกเอาแต่ที่ชอบ เพราะพระเจ้าทรงรักเรา..การขัดเกลาของพระองค์ก็เพื่อที่เราจะงดงามขึ้น ถึงแม้บางครั้งที่โดนมันต้องเจ็บ แต่ถ้ามาจากพระเจ้าทุกอย่างคือสิ่งที่ดี..เราต้องถ่อมใจลงและยินดีที่จะเดินตาม
ดู1ซมอ.3:10-14 แล้วพระเจ้าก็มาหาซามูเอลและเรียกเขาอีก คราวนี้ซามูเอลก็ตอบออกไปอย่างที่เอลีสอนไว้ และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่พระเจ้าเผยพระวจนะกับซามูเอล สิ่งที่พระองค์บอก ก็คือ วาระแห่งการพิพากษาครอบครัวของเอลีมาถึงแล้ว ในข้อที่ 11พระองค์บอกว่า “..หูของทุกคนผู้ที่ได้ยินจะแสบทั้งสองข้าง” พระเจ้าไม่ได้ทรงพูดเกินเลย เพราะเดี๋ยวในบทที่4เราจะได้เห็นกันว่า ตอนที่เอลีรู้ข่าวว่าลูกถูกฆ่าตาย เขาก็หงายหลังตกเก้าอี้ตายไปเลย
ข้อที่13 บอกว่า..”เพราะบุตรทั้งสองของเขาเหยียดหยามพระเจ้า และเขาก็มิได้ห้ามปราม” เอลีเป็นผู้รับใช้พระเจ้ามีหน้าที่ดูแลงานในวิหาร รวมถึงจิตวิญญาณของผู้คน..ซึ่งนับว่าเป็นหน้าที่อันยิ่งใหญ่ แต่เขากลับละเลยไม่ดูแลครอบครัวตัวเอง ในฉธบ.น้าตุ๊กสอนไปแล้วว่า..ความรักต้องเริ่มที่บ้านก่อน ถ้าครอบครัวคุณล้มเหลวคุณไปช่วยใครไม่ได้หรอก
ดู 1เปโตร2:5 ไม่ใช่แค่เอลี อาโรน หรือซามูเอล แต่พวกเราทุกคนคือปุโรหิต และร่างกายของเรา ก็คือพระวิหารของพระองค์ ที่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่(ทุกคน) ตั้งแต่วันที่เรารับเชื่อในพระคริสต์ (baptize unto life) เพราะฉะนั้น ถ้าเราทำสิ่งไม่ดีหรือไม่ถูกต้อง ก็เท่ากับเราเหยียบย่ำพระวิหารของพระเจ้า ซึ่งไม่ต่างอะไรกับเอลีแล้วก็ลูกชายของเขาเลย
ในข้อที่14 พระเจ้าทรงบอกต่อไปว่า “..ความบาปชั่วของพงศ์พันธ์เอลีนั้น จะลบล้างด้วยเครื่องสัตวบูชาไม่ได้” ต้องตายสถานเดียว แปลว่าความบาปของเอลีกับลูก...เป็นบาปที่เขาตั้งใจทำ เพราะการเผาเครื่องบูชาจะลบล้างได้แต่ความบาปที่ไม่ได้ตั้งใจ
ดู1ซมอ.3:17-18 แรกเลย ซามูเอลไม่กล้าบอกเอลี..ว่าพระเจ้าทรงตรัสอะไร แต่เอลีก็คะยั้นคะยอจนซามูเอลต้องเล่าทุกอย่างให้ฟัง ทีนี้พอเอลีรู้ว่าพระเจ้าจะลงโทษตัวเองกับลูก เอลีมีท่าทียังไง เอลีพูดว่า..”คือพระเจ้าเอง ขอพระองค์ทรงกระทำตามสิ่งที่พระองค์ทรงเห็นชอบเถิด” หมายความว่าไง..ถ้าให้น้าตุ๊กแปลเป็นภาษาเราๆ น้าตุ๊กรู้สึกเหมือนเอลีจะพูดว่า”..ก็พระองค์คือพระเจ้า พระองค์ใหญ่สุด จะทำไงก็แล้วแต่น้ำพระทัย” ฟังเผินๆก็ดูเหมือนคนมีความเชื่อนะ เหมือนจะวางใจพระเจ้า แต่จริงๆแล้วความหมายของเอลีก็คือ..อะไรจะเกิดก็ช่างแต่ชั้นขอทำเหมือนเดิม เพราะไม่มีท่าทีใดๆจากเอลีที่จะทำให้เห็นว่า..เขาสำนึกผิด รู้สึกโศกเศร้า เอลีไม่ได้เอาขี้เถ้าโรยหัว อดอาหารอธิฐาน หรือทูลขอการอภัยจากพระเจ้าตั้งแต่คืนยันรุ่ง (เหมือนก.ดาวิด ดู2ซมอ.12:16) ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรทำเมื่อคำพิพากษามาถึง แม้จะยับยั้งพระอาชญาไม่ได้ แต่มันสำแดงให้เห็นถึงการสำนึกผิดและกลับใจใหม่ ตรงนี้เด็กๆต้องแยกแยะให้ออกระหว่าง “การวางใจในสิ่งที่พระเจ้ากำหนดไว้” กับการที่จะเอาความเคร่งครัดศรัทธามาอ้าง (เพราะขี้เกียจทำอะไรบางอย่าง)
เช่น...เราจะมีรูปร่างหน้าตายังไง (อันนี้ปั้นไว้แล้ว) ต่อไปเราจะมีอาชีพอะไร รูปแบบชีวิตเราจะเป็นแบบไหน (อันนี้เขียนไว้แล้ว และมันต้องดีสำหรับเราแน่ๆ) หรือแม้แต่ เกิดมาแล้วก็ต้องตาย ยุคสุดท้ายจะต้องมาถึง กรณีอย่างงี้ต่างหากที่เราต้องวางใจพระเจ้า ปล่อยให้เป็นไปตามน้ำพระทัยเพราะเราเชื่อในความยิ่งใหญ่ของพระองค์
...แต่ไม่ใช่เรื่องที่คุณจะทำสิ่งที่ผิด แล้วมาพูดว่า”ถ้าพระเจ้าจะลงโทษก็แล้วแต่น้ำพระทัย อะไรจะเกิดก็เกิด..แล้วไหนๆก็ต้องโดนอยู่แล้ว ชั้นก็เลยทำบาปต่อไป เพราะคงจะเปลี่ยนอะไรไม่ได้” มันคนละเรื่องกันเลย เด็กๆต้องจำไว้เสมอ..ว่าถ้าเราทำผิดไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่กลับใจใหม่ขอโทษพระเจ้าแล้วพยายามอย่าทำอีก สำเร็จมั่งไม่สำเร็จมั่งไม่เป็นไร..เพราะพระเจ้าดูที่ใจว่าเราพยายามหรือยัง อย่าเป็นเหมือนเอลี ทำทีว่าชั้นวางใจแต่จริงๆแล้ว..ไม่เคยคิดที่จะแก้ไขอะไรเลย แทนที่จะเอาความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าเป็นแรงบันดาลที่จะทำตามน้ำพระทัย กลับใช้เรื่องนี้มาอ้างเพื่อจะได้ไม่ต้องทำอะไรให้มันดีขึ้น
ดู1ซมอ.3:19-21 “..พระเจ้าไม่ให้วาจาของซามูเอล ตกไปแม้แต่คำเดียว” หมายถึง ทุกสิ่งที่ซามูเอลพูด จะต้องเกิดขึ้นจริง อันนี้เป็นสัญญาณที่พระเจ้ารับรองให้ซามูเอลเป็นผู้เผยพระวจนะแท้ของพระองค์ เพราะเราเคยเรียนกันไปแล้ว..ถึงการที่จะดูว่าผู้เผยพระวจนะคนนั้นมาจากพระเจ้าหรือไม่ อย่างแรกก็คือ ให้ดูว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นเกิดขึ้นจริงรึเปล่า และอีกข้อก็คือ ดูว่าถ้อยคำของเขาโน้มนำให้อยู่ในทางพระเจ้าหรือไม่
.....ในข้อที่ 20 บอกว่า”..ชนอิสราเอลทั้งปวงตั้งแต่ดานถึงเบเออร์เชบา ก็รู้ว่าซามูเอลเป็นผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า” (ดานถึงเบเออร์เชบา เป็นสำนวนหมายถึงอิสราเอลทั้งประเทศ เพราะว่า ดานคือเมืองหนึ่งที่อยู่เหนือสุด ส่วนเบเออร์เชบาก็เป็นเมืองหนึ่งที่อยู่ใต้สุด) ก็ประมาณว่าตั้งแต่เหนือจรดใต้ ตอนนี้ทุกคนในอิสราเอลยอมรับว่าซามูเอลคือผู้เผยพระวจนะ
ดู1ซมอ.4:1-3 บทที่๔นี้ เป็นเรื่องตอนที่คนอิสราเอลไปรบกับพวกฟิลิสเตีย ยกแรกอิสราเอลดูเหมือนว่าจะสู้ไม่ได้ เพราะในข้อที่2 บอกว่าทหารอิสราเอลถูกฆ่าไปมากถึงสี่พันคน พวกเขาก็เลยไม่เข้าใจว่า..ทำไมพระเจ้าถึงให้แพ้ เหมือนพวกเราเวลาที่มีปัญหาหรือสถานการณ์ไม่ได้อย่างใจ ก็..ทำไม..ทำไม..ทำไม พระเจ้าถึงให้เป็นอย่างงี้ แล้วบางทีก็สรุปเอาเอง เหมือนที่อิสราเอลก็ปรึกษากันเอง..โดยไม่มีการอธิฐาน..ไม่มีการทูลขอให้พระเจ้าทรงนำ แล้วก็สรุปกันเองว่า “เป็นเพราะไม่ได้พกหีบพันธสัญญาไปด้วย เดี๋ยวพรุ่งนี้จะเอาหีบออกไปสนามรบด้วย ทีนี้ต้องชนะแน่ๆ” ข้อนี้บอกอะไรเรา..ก็บอกว่า..ตอนนี้อิสราเอลกำลังสับสนตัวเอง แทนที่จะเห็นตัวเองเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า กลับเห็นพระเจ้าเป็นผู้รับใช้แทน ถูกมะ..เพราะคิดว่าถ้าเอาไปด้วยแล้วจะทำให้ชนะ (แล้วตกลง..ใครใหญ่ล่ะเนี่ย) ตรงนี้เองที่อิสราเอล...พลาดอย่างแรง เพราะกำลังปฏิบัติต่อหีบพันธสัญญาเหมือนเป็นเครื่องลางของขลังอะไรซักอย่างที่คิดว่าต้องพกพาไปด้วยแล้วถึงจะออกฤทธิ์ หีบพันธสัญญาเป็นแค่สัญญลักษณ์ที่เตือนให้เขารู้ว่า”พระเจ้าอยู่ด้วยนะ” และความศักดิ์สิทธิ์และฤทธิ์อำนาจก็อยู่ที่พระองค์เอง มันอยู่ที่หีบซะที่ไหนล่ะ”
ดูต่อไป1ซมอ.4:5-6/8-9 พอเขาเอาหีบพันธสัญญาออกมาไว้ที่ค่ายทหาร คนอิสราเอลก็โห่ร้องอย่างกับตัวเองชนะแล้ว จนพวกฟิลิสเตียได้ยินก็เลยสงสัยว่า..โห่ร้องอะไรกัน พอรู้ว่าอิสราเอลเอาหีบพันธสัญญาออกมาที่สนามรบ คนฟิลิสเตียกลัวมั๊ย..กลัวมาก เพราะยังจำได้ถึงตอนที่พระเจ้านำคนอิสราเอลออกมาจากอียิปต์ แล้วมันก็ชนะไปทั่วแทบทุกที่ที่ย่างเท้าไป พวกฟิลิสเตียก็คิดว่าคราวนี้ตายแน่ แต่ไหนๆจะตายก็ขอสู้จนสุดฤทธิ์จะได้สมศักดิ์ศรี ชายชาติทหาร
ดู1ซมอ.4:10-11 ด้วยความกลัวฟิลิสเตียเลยสู้ยิบตา..ปรากฎว่า..ชนะ อิสราเอลแพ้ยับเยินใน ครั้งนี้คนอิสราเอลถูกฆ่าไปอีกสามหมื่นคน และในจำนวนนี้มีลูกชายของเอลีคือโฮฟนีและฟีเนหัสรวมอยู่ด้วย ที่สำคัญในข้อที่11บอกว่า..หีบแห่งพันธสัญญาก็ถูกพวกฟิลิสเตียยึดเอาไป..พวกเขาเอาไปทำไม..เอาไปเพราะคิดว่าถ้าใครได้ไปครอง..หีบก็ช่วยคนนั้น เหมือนตะเกียงวิเศษที่อยู่กับใคร..คนนั้นก็จะโชคดี จริงๆแล้วคริสเตียนหลายคนก็ยังมีท่าทีอย่างงี้อยู่ คือเห็นพระเจ้าเป็นแค่ส่วนหนึ่งที่จะทำให้ชีวิตดีขึ้น ซึ่งมันผิดแล้วก็อันตรายมาก
ดู1ซมอ.4:12-14/15-17 ข้อนี้บอกว่า...เอลีนั่งรอฟังข่าวอยู่ข้างถนน ใจคอไม่ค่อยดี เพราะอะไร ก็คงจะรู้สึกกลัวๆเพราะตอนนี้หีบพันธสัญญา..มันไม่อยู่ในที่ที่ควรจะอยู่ แล้วลึกๆเอลีก็ต้องสังวรณ์ถึงคำพิพากษาของพระเจ้าแน่นอน
...ข้อที่12บอกว่า มีชายเผ่าเบนจามินคนนึงเสื้อผ้าขาดวิ่น มีดินอยู่บนศีรษะ..อันนี้เป็นเครื่องหมายแสดงถึงความโศกเศร้า วิ่งจากสนามรบมาส่งข่าวที่ชิโลห์ พอชาวเมืองรู้ข่าวที่เขามาบอกก็ร้องไห้กันระงม เอลีเลยร้องถามว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะว่าเขาตามัวมองอะไรไม่เห็น ชายคนนี้ก็เลยไปบอกเอลีว่า..”อิสราเอลแพ้พวกฟิลิสเตีย แล้วลูกชายทั้งสองคนของเอลีก็ตายด้วย มิหนำซ้ำ..หีบพันธสัญญาก็ถูกยึดไป”
ดู1ซมอ.4:18 ข่าวร้ายนี้มันคงหนักหนาสาหัสเกินกว่าคนแก่วัย 98 ปีจะรับไหว เพราะข้อนี้บอกว่า..พอเอลีได้ยินอย่างงั้น ก็หงายหลังตกเก้าอี้..คอหักตายไปเลย ทุกอย่างก็เป็นไปตามคำที่พระเจ้าทรงพิพากษาไว้ งานรับใช้สี่สิบปีของเอลีก็สิ้นสุดลง สำเร็จตามพระวจนะอย่างครบถ้วนกระบวนความ
ดู1ซมอ.4:19-22 ในขณะเดียวกัน ลูกสะใภ้ของเอลี..ภรรยาของฟีเนหัสที่กำลังท้อง พอรู้ข่าวทั้งหมดก็เจ็บท้องคลอดทันที การคลอดเป็นไปอย่างยากลำบาก..แต่ในที่สุดก็ได้ลูกชายคนหนึ่ง นางตั้งชื่อว่า ”อีคาโบด” แปลว่าพระสิริพรากไป ลูกสะใภ้คนนี้น่าจะเป็นคนที่เข้าใจอะไรๆได้ดีนะ เพราะเขาคิดออกว่า”การสูญเสียหีบแห่งพระเจ้า ก็เท่ากับสูญเสียพระสิริไปด้วยซึ่งนับเป็นหายนะที่สุดแล้วของอิสราเอล
.....หีบพันธสัญญาในแผ่นดินของคนฟิลิสเตีย
ทีนี้เราจะมาดูกันว่า เมื่อพวกฟิลิสเตียแย่งเอาหีบพันธสัญญาไปแล้ว มันเป็นยังไง มันเกิดอะไรขึ้นบ้าง..หีบพระสัญญาจะทำให้พวกเขาโชคดีอย่างที่คิดหรือเปล่า
ดู1ซมอ.5:1-4 หลังจากที่ยึดหีบพันธสัญญาไปแล้ว พวกฟิลิสเตียก็เอาไปไว้ในโบสถ์ของพระดาโกน ที่เมืองอัชโดด การเอาหีบของพระเจ้าแห่งอิสราเอลไปวางไว้ต่อหน้าพระดาโกน คงจะเป็นการสำแดงว่าพระดาโกนของพวกฟิลิสเตีย..เหนือกว่าพระเจ้าของอิสราเอล (เพราะชั้นจับมาเป็นตัวประกันได้สำเร็จ) ข้อที่4บอกว่า..เช้าวันรุ่งขึ้น พอพวกฟิลิสเตียเข้ามาที่วิหารพระดาโกน ก็ต้องตกตะลึงพรึงเพริดเพราะว่า รูปปั้นพระดาโกนของพวกเขาล้มหน้าคว่ำคลุกดินอยู่ต่อหน้าหีบแห่งพระเจ้าของอิสราเอล แต่พวกเขาก็คงคิดว่าไม่เป็นไร..แล้วก็เอาไปตั้งที่เดิม ปรากฎว่า เช้าวันต่อมาเมื่อชาวฟิลิสเตียมาถึง ก็เห็นว่า..มันหนักกว่าเดิม เพราะคราวนี้ไม่ใช่แค่หน้าคว่ำอย่างเดียว เพราะพระดาโกนเหลือแต่ลำตัว ส่วนมือกับหัวหักกระเด็นไปอยู่ที่ธรณีประตู
ดู1ซมอ.5:5 ลองคิดดูว่าพระที่เป็นของแท้และยิ่งใหญ่จริง..ต้องให้คนมาช่วยยกไปวางบนหิ้งมั๊ย จะแตกเป็นเสี่ยงๆได้หรือไม่ หรือแตกแล้วจะหมดฤทธิ์รึเปล่า กาวตราช้างจะช่วยได้แค่ไหน แต่พวกฟิลิสเตียก็ยังคิดไม่ออกหรืออาจจะยังเย่อหยิ่งก็ได้ เพราะในข้อนี้บอกว่า แทนที่พวกเขาจะยอมรับ..ว่าพระเจ้าของอิสราเอลเท่านั้นที่ยิ่งใหญ่และเป็นของจริง กลับประกาศให้ธรณีประตูที่พระดาโกนล้มไปกระแทก..เป็นบริเวณศักดิ์สิทธิ์แทน (ซะงั้น)
ดู1ซมอ.5:6-7/8-9 ในข้อที่แล้วพระเจ้าทรงทำให้เห็นว่ารูปเคารพไม่ได้มีอำนาจอะไรเลย แล้วตอนนี้ พระองค์ก็กำลังจะสั่งสอนคนฟิลิสเตียโดยตรง...ข้อที่ 6 บอกว่า พระเจ้าทำให้เกิดโรคฝีระบาดไปทั่วเมืองอัชโดด แล้วพวกฟิลิสเตียก็รู้ดีว่าที่เป็นอย่างงี้ก็เพราะหีบพันธสัญญาเพราะในข้อที่ 7พวกเขาบอกว่า”พระหัตถ์ของพระเจ้าอยู่เหนือเราและอยู่เหนือพระดาโกนด้วย” คือตอนนี้ยอมรับละว่าพระเจ้าของอิสราเอลใหญ่กว่า พอปรึกษากันแล้วทางแก้ก็ดูเหมือนจะมีทางเดียว คือ..กำจัดหีบไปซะ ตกลงกันว่าจะส่งไปที่เมือง”กัท” เมืองกัทก็เป็นเมืองหนึ่งของพวกฟิลิสเตียที่ใหญ่รองจากอัชโดด แต่พอหีบไปอยู่ที่เมืองกัท...มันก็เกิดเรื่องขึ้นเหมือนเดิม คือโรคฝีก็ระบาดไปทั่วทั้งเมืองรวมถึงบริเวณใกล้เคียงด้วย ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ตายกันระเนระนาด
ดู1ซมอ.5:10-12 พวกฟิลิสเตียหาทางออกอีกครั้ง โดยพยายามจะส่งหีบพันธสัญญาไปไว้ที่เอโครน พอส่งไปปุ๊บ..ชาวเอโครนก็ร้องลั่น ประมาณว่า..นี่จะฆ่ากันรึไงถึงเอาหีบแห่งพระเจ้ามาไว้ที่นี่ พวกผู้นำของฟิลิสเตียก็เลยปรึกษากันอีกครั้ง สรุปว่า”สงสัยต้องส่งคืนเจ้าของ ถึงจะยุติเรื่องยุ่งๆที่เกิดขึ้นได้ ตอนนี้มันวุ่นวายไปทั่ว...เพราะคนที่ไม่ตายก็ติดเชื้อโรคฝี
เวลาหมดแล้วค่ะสัปดาห์หน้าพบกันใหม่ พระเจ้าอวยพรค่ะ