วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2552

หนังสือผู้วินิจฉัย ครั้งที่4 อาทิตย์ที่ 25:10:2009

กิเดโอน ตอนที่๓ ผวฉ.8:1-21
หลังจากที่คนเอฟราอิมได้กำจัดชาวมีเดียนที่พยายามหลบหนีได้แล้ว พวกเขาก็หันมาต่อว่ากิเดโอนด้วยความน้อยใจว่า ทำไมไม่ชวนพวกเขาไปร่วมรบตั้งแต่แรกเหมือนไม่ให้เกียรติกัน แต่กิเดโอนก็ได้ตอบพวกเขาอย่างใจเย็นว่า “ผลองุ่นที่กิเดโอนกับกองทหารเก็บนั้นไม่สำคัญเท่ากับผลองุ่นที่คนเอฟราอิมเก็บเล็ม...”
อันนี้เป็นการพูดยกย่องสรรเสริญ เพราะคนเอฟราอิม..ได้ฆ่าเจ้านายคนสำคัญของพวกมีเดียน ส่วนกิเดโอนกับพวกน่ะ..ถึงจะฆ่าชาวมีเดียนไปเยอะแต่ก็เป็นแค่พลทหาร จะไปสำคัญเท่ากับสิ่งที่คนเอฟราอิมทำได้ไง (อ่ะ..รู้จักพูด ก็เลยโอเค สมานฉันท์ ) คนเอฟราอิมก็เลยหายงอนไม่ติดใจอะไรอีก นี่แหละ..อานุภาพของสิ่งที่ออกมาจากปากคน ที่น้าตุ๊กเคยสอนแล้วว่า มันมีอานุภาพทั้งในทางสร้างสรรค์และทำลายล้าง อาจเปลี่ยนเย็นเป็นร้อน หรือจากร้อนให้ผ่อนคลาย เปลี่ยนศัตรูเป็นมิตร หรือเปลี่ยนเพื่อนสนิทให้กลายเป็นคนไกล ...อาจสร้างแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่หรือบั่นทอนกำลังใจให้เหือดหาย ทุกอย่างเป็นไปได้เพียงเพราะแค่"คำพูด"ของคน
จากนั้น กิเดโอนก็ข้ามน.จอร์แดนไล่ตามทหารมีเดียนไปอย่างไม่ลดละ เพราะหัวหน้าของคนมีเดียนที่หนีไปเนี่ยเคยฆ่าพี่น้องท้องเดียวกันกับเขา แล้วตอนที่ตามศัตรูไปกิเดโอนก็ได้เอ่ยปากขอแบ่งอาหารจากคนอิสราเอลด้วยกันที่อยู่ทางฝั่งตะวันออก เพื่อที่จะเอามาเลี้ยงกองทหารที่กำลังไล่ตามศัตรู.. แต่ชาวเมืองสุคคทที่เป็นคนอิสราเอลด้วยกันเนี่ยไม่ให้..ปฏิเสธไม่ยอมแบ่งอาหารให้กิเดโอนกับพวก พวกเขาพูดประมาณว่า “จับศัตรูได้แล้วหรือไง ถึงบอกให้เอาอาหารมาเลี้ยงน่ะ” กิเดโอนก็เลยโมโห บอกกับชาวบ้านที่ไม่มีน้ำใจพวกนี้ว่า “เดี๋ยวถ้าจับศัตรูได้แล้ว จะกลับมาคิดบัญชี”
ว่าแล้วกิเดโอนก็เดินทางต่อ...จนไปถึงเมืองเปนูเอล แล้วก็เอ่ยปากขอแบ่งอาหารจากชาวเมืองนี้อีกครั้ง คำตอบที่ได้รับก็เหมือนเดิม คือถูกปฏิเสธอย่างไม่มีเยื่อใย กิเดโอนเลยบอกว่าคอยดูนะ...เดี๋ยวเขาจะกลับมาพังป้อมของเมืองนี้ คือพูดด้วยความแค้น....เพราะเป็นพี่น้องร่วมชาติกันแท้ๆยังจะแล้งน้ำใจ แต่ถ้าคิดอีกแง่หนึ่ง... พวกชาวบ้านคงกลัวชาวมีเดียนจะกลับมาแก้แค้นมากกว่าถ้าเลี้ยงอาหารกิเดโอนกับพวก เพราะพวกเขาไม่คิดว่ากิเดโอนจะเอาชนะพวกมีเดียนได้
ในที่สุดกิเดโอนก็จับตัวหัวหน้าสองคนนี้ได้ เสร็จแล้วก็ลากตัวกลับมาที่เมืองสุคคทแล้วก็พูดกับชาวเมืองนั้นประมาณว่า “เอ้า..ดูซะให้เต็มตา นี่ไงศัตรูที่พวกเจ้าเคยดูถูก...คิดว่าเราคงไม่มีวันที่จะจับตัวได้ วันนั้นถึงไม่ยอมแบ่งอาหารให้เรา” ว่าแล้วกิเดโอนก็จัดการลงโทษชาวเมืองสุคคทแล้วก็ทำลายป้อมของเมืองเปนูเอลตามที่เคยพูดไว้ หลังจากนั้นก็ฆ่าหัวหน้าชาวมีเดียนที่จับตัวมาได้
กิจการต่อไปและมรณกรรมของกิเดโอน
ดูผวฉ.8:22-24 ข้อนี้บอกว่าคนอิสราเอลรู้สึกภาคภูมิใจในความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ คือสามารถเอาชนะพวกมีเดียนได้ ก็เลยอยากให้กิเดโอนเนี่ยมาเป็นกษัตริย์ปกครองพวกเขาซะเลย แต่กิเดโอนไม่เอา.... กิเดโอนบอกว่าพระเจ้าจะทรงปกครองชาติอิสราเอลเอง
แต่ว่ากิเดโอนก็ได้ขอสิ่งหนึ่งกับชาวอิสราเอล คือ ขอให้ประชาชนถวายต่างหูทองคำที่ริบมาจากชาวมีเดียนให้กับเขา ทุกคนก็โอเค..เสร็จแล้วกิเดโอนก็เอาทองมาหลอมรวมกันแล้วทำเป็นรูปเอโฟด (เครื่องแต่งกายชิ้นสำคัญของปุโรหิต) แล้วก็เอาไปตั้งไว้ที่เมืองโอฟราห์ พระคำภีร์ระบุว่า..หลังจากนั้นไม่นานคนอิสราเอลก็หลงเอาไอ้เจ้าเอโฟดที่กิเดโอนสร้างเนี้ย มาเป็นรูปเคารพ...กราบไหว้มันเทียบเคียงพระเจ้าเลย
ดูผวฉ.8:29-32 พระคำภีร์ตอนนี้ทำให้เรารู้ว่า ถึงแม้กิเดโอนจะไม่รับตำแหน่งกษัตริย์ของอิสราเอล แต่เขาก็มีความเป็นอยู่...แล้วก็ใช้ชีวิตไม่ต่างจากกษัตริย์ซักเท่าไหร่ คือมีบ้านหลังใหญ่...เหมือนสร้างอาณาจักรของตัวเอง แล้วก็มีเมียหลวงกับเมียน้อยหลายคน มีลูกเยอะมากถึงเจ็ดสิบคน....แล้วหนึ่งในนั้นก็คือ อาบีเมเลค (เดี๋ยวเราจะเรียนเรื่องของ อาบีเมเลค กันต่อ) และเช่นเคย...หลังจากที่กิเดโอนเสียชีวิตไป คนอิสราเอลก็ลืมพระเจ้าอีก หลงหายไปไหว้พระอื่นอีกครั้ง (ตามเคย)
รัชกาลอาบีเมเลค
ดูผวฉ.9:1-3/4-6 อาบีเมเลคก็คือลูกชายคนหนึ่งของกิเดโอน ที่เกิดจากเมียน้อยชาวเชเคม หมายถึงเป็นคนคานาอันนะ...ไม่ใช่คนอิสราเอลที่อาศัยอยู่ในเชเคม ในข้อนี้บอกว่า อาบีเมเลคได้ไปหาแม่กับญาติๆที่เมืองเชเคม แล้วก็พูดหว่านล้อมคนกลุ่มนี้ในฐานะที่เป็นคนบ้านเดียวกัน ให้สนับสนุน ช่วยเหลือตัวเองให้เป็นกษัตริย์ ชาวเชเคมที่เป็นพวกเดียวกันกับแม่ของอาบีเมเลคก็เลยช่วยกันฆ่าลูกคนอื่นๆของกิเดโอน แล้วตั้งให้อาบีเมเลคเป็นกษัตริย์ (แต่ไม่ใช่กษัตริย์ที่ครองทั้งประเทศเหมือนที่เราเข้าใจหรอก เพราะอาบีเมเลคปกครองแค่สองสามเมืองในแถบนั้น) แต่ยังไงก็ตามในข้อที่๕ บอกว่ามีลูกคนสุดท้องของกิเดโอนคนหนึ่งชื่อ “โยธาม” ที่สามารถหนีรอดมาได้
ดูผวฉ.9:7-10/11-15 ในข้อนี้บอกว่า โยธามได้ขึ้นไปบนภ.เกริซิมแล้วก็แผดเสียงร้อง ตักเตือนชาวเชเคมในลักษณะคล้ายๆจะเป็นคำพยากรณ์ โดยใช้คำอุปมาเปรียบเทียบคนอิสราเอลเป็นต้นไม้ แล้วก็เปรียบผู้ใหญ่หรือผู้นำที่ดีของอิสราเอลเป็นต้นมะกอกเทศ ต้นมะเดื่อ แล้วก็เถาองุ่น ทำไมถึงต้องเปรียบคนดีเป็นต้นไม้สามอย่างนี้ เพราะต้นไม้ทั้งสามอย่างนี้ให้ผลดี และเป็นประโยชน์ต่อชีวิตมนุษย์ โยธามบอกว่าต้นไม้ต่างๆได้ไปเชิญต้นมะกอก ต้นมะเดื่อแล้วก็เถาองุ่นให้มาปกครองตนเอง อันนี้หมายถึงชาวอิสราเอลได้เคยขอให้ผู้นำที่ดี ผู้นำที่เคยสร้างประโยชน์สุขให้แก่อิสราเอล มาเป็นกษัตริย์ปกครองพวกเขา แต่ผู้นำที่ดีนั้นก็ไม่เอา อย่างเช่นกิเดโอนพ่อของโยธามเองก็ไม่ยอมรับตำแหน่งนี้ เด็กๆคิดว่าเพราะอะไร ผู้ใหญ่หรือผู้นำที่ดี ผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสัตย์ซื่อและเสียสละมักจะไม่ค่อยยอมรับตำหน่งผู้นำคนสำคัญต่อ...ถ้าไม่จำเป็น เพราะเขาไม่ได้เห็นแก่ผลประโยชน์ หรือเกียรติยศชื่อเสียงใดๆ และการเป็นผู้นำในทุกสถาบันนั้น แท้จริงแล้วมันหมายถึงภาระหน้าที่อันหนักหน่วง การเสียสละทั้งเวลาและความสุขส่วนตัวอย่างแท้จริงเพื่อส่วนรวม เพราะฉะนั้น ส่วนใหญ่แล้วผู้นำที่ดีๆมักต้องการที่จะเกษียณตัวเองเมื่อถึงเวลาอันสมควร คือเมื่อเขาคิดว่า..ตนเองก็ได้สร้างประโยชน์สุขให้แก่สังคมหรือสถาบันมาจนสมควรแก่เวลาแล้ว ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่เห็นแก่ผลประโยชน์ เห็นแก่เกียรติยศชื่อเสียง มองตำแหน่งผู้นำเป็นเหมือนการได้เป็นคนพิเศษ มีอำนาจวาสนาบารมี คนกลุ่มนี้มักจะมีความทะยานอยาก และพยายามดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อที่จะได้ขึ้นมาเป็นผู้นำ (เหมือนอย่าง"อาบีเมเลค" นี่ไง) ต่างจากผู้นำที่ดีอย่างสิ้นเชิง ที่มักจะมีคนไปเชิญให้มาเป็น...แต่ก็ยังไม่ค่อยอยากจะรับ (ในสังคมการเมืองบ้านเราก็ยังมีให้เห็น)
ในข้อที่๑๔.บอกว่า “บรรดาต้นไม้ก็เลยไปขอให้ต้นหนามไข่กุ้งมาปกครองพวกตน..”ต้นหนามไข่กุ้งเท่าที่น้าตุ๊กค้นเจอ รู้สึกว่าเขาจะใช้ทำแยมแต่มันเป็นต้นไม้ที่ไม่ให้ร่มเงา แล้วก็ติดไฟง่าย” โยธามเปรียบอาบีเมเลคเป็นต้นหนามไข่กุ้ง ที่ประชาชนไปสนับสนุนขึ้นมาเป็นกษัตริย์ ซึ่งจะไม่ได้ให้ร่มเงาหรือความร่มเย็นกับพวกเขาเลย ตรงกันข้าม ต้นหนามไข่กุ้งนั้นจะติดไฟง่าย สามารถเผาผลาญทุกอย่างให้วอดวายไปชั่วพริบตา เช่นเดียวกับอาบีเมเลค ที่เขาเองจะเป็นเหตุสร้างความเดือดร้อนให้ชาวเชเคม .....ในข้อที่๑๙. โยธามก็กล่าวทิ้งท้ายว่า “ถ้าประชาชนแน่ใจว่าตัวเองทำในสิ่งที่ถูกที่ควรแล้ว ก็ขอให้ชื่นชมยินดีกันทั่วหน้า แต่ถ้าสิ่งที่พวกเขาทำนั้น มันไม่ถูกต้องก็ขอให้ทั้งสองฝ่ายเป็นเหมือนไฟที่จะเผาผลาญซึ่งกันและกัน พูดเสร็จโยธามก็หนีไปอยู่ที่เบเออร์
ดูผวฉ.9:22-25 อาบีเมเลคปกครองอิสราเอลได้สามปี คำพยากรณ์ของโยธามก็เป็นจริงขึ้นมา เพราะอาบีเมเลคกดขี่ประชาชนมาก พวกเขาก็เลยดิ้นรนวางแผนก่อการกบฎ แกล้งละเมิดกฎหมายสร้างสถานะการณ์ความเดือดร้อนไปทั่วในขณะที่อาบีเมเลคไม่อยู่ที่เชเคม แต่”เศบุล”เจ้าเมืองคนหนึ่งก็ได้ส่งข่าวการกบฎของประชาชนไปให้อาบีเมเลครู้ อาบีเมเลคก็เลยกลับมาจัดการพวกกบฎซะราบคาบ
แต่ขนาดราบคาบแล้วอาบีเมเลคก็ยังไม่ยอมหยุด.....กะว่าจะต้องสั่งสอนชาวเมืองซะให้เข็ด ทั้งชาวนา ชาวไร่ ไม่เว้นว่าจะเป็นเด็กหรือผู้หญิง
ดูผวฉ.9:46-49 ในข้อนี้บอกว่า มีชาวเมืองกลุ่มหนึ่งหนีตายไปรวมกันอยู่ในป้อมของวัด พอรู้ถึงหูอาบีเมเลค เขาก็พาพรรคพวกตัดไม้ตัดฟืนแบกไปที่ป้อมที่ชาวหอเชเคมหลบอยู่ เสร็จแล้วก็จัดการเผาป้อมย่างสดคนที่อยู่ข้างในซะสิ้นซาก ครั้งนั้นชาวหอเชเคมก็ตายไปร่วมพันคน (หยุดไม่อยู่แล้ว..ความบ้าบิ่นของอาบีเมเลค)
ดูผวฉ.9:50-54 หลังจากที่อาบีเมเลคเผาป้อมของชาวหอเชเคมแล้วเขาก็ยังบ้าเลือดไม่หยุด ยกไปยึดเมืองเธเบศ ประชาชนในเมืองนั้นก็หนีเข้าไปอยู่ในหอรบแห่งหนึ่ง ปิดประตูขังตัวเองแล้วก็หนีไปซ่อนอยู่บนหลังคา อาบีเมเลคก็ตามเข้าไปกะจะจุดไฟเผาให้ตายหมู่เหมือนที่หอเชเคม แต่พอเขามาถึงประตูทางเข้าหอรบ ก็มีหญิงคนหนึ่งสบโอกาสหยิบหินโม่แป้งทุ่มใส่หัวอาบีเมเลคกะโหลกแตกแต่ยังไม่ตาย...
ในข้อที่๕๔.บอกว่า “ท่านจึงรีบร้องบอกคนหนุ่มที่ถืออาวุธของท่านว่า เอาดาบฟันเราเสียเพื่อคนจะไม่กล่าวว่า ผู้หญิงคนหนึ่งฆ่าเขาตาย”.... พอถูกผู้หญิงเอาหินโม่แป้งทุ่มหัว...กะโหลกแตกใกล้ตาย พะงาบๆ เลยรีบบอกคนสนิทที่มาด้วยกันว่า เอาดาบฆ่าชั้นให้ตายที จะได้ไม่มีใครว่าได้...ว่าชั้นถูกผู้หญิงฆ่าตาย” แน่ะ...มีอาย ไม่อยากให้ใครดูถูกว่ามาตายด้วยน้ำมือสตรี เพราะห้าวหาญชาญชัยมาตลอด รบชนะฆ่าฟันคนมาเป็นหมื่นเป็นพัน แต่สุดท้ายมาตายน้ำตื้น (ถูกหินโม่แป้งทุ่มหัวตาย) .......ว่าแล้วคนสนิทก็สนองพระเดชพระคุณ ใช้ดาบแทงอาบีเมเลคจนถึงแก่ความตาย ทุกอย่างก็จบลงได้ตามคำพยากรณ์ของโยธาม
หลังจากนั้นอิสราเอลก็มีผู้วินิจฉัยอีกสองคนคือ โทลา และ ยาอีร์ แต่พระคำภีร์ไม่ได้บันทึกเกี่ยวกับเหตุการณ์ทางการทหารและการเมืองในสมัยของทั้งสองท่านนี้ไว้ เข้าใจว่า คงจะเป็นผู้ปกครองวินิจฉัยทางราชการ และคงไม่มีเหตุการณ์โลดโผนอะไรมากมายนัก

วันอังคารที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2552

หนังสือผู้วินิจฉัยครั้งที่ 3 อาทิตย์ที่ 18:10:2009

บทเพลงของเดโบราห์และบาราค
บทประพันธ์หรือบทเพลงของเดโบราห์เริ่มต้นด้วยการนมัสการพระเจ้า แล้วก็ย้อนระลึกถึงชัยชนะของอิสราเอล และการสำแดงของพระเจ้าบนภ.ซีนายในสมัยโมเสส ถ้าเด็กๆสังเกตดูก็จะเห็นว่าบทเพลงหรือบทประพันธ์ที่คนอิสราเอลแต่งขึ้นในสมัยนั้น มักจะมีการกล่าวรำลึกถึงเหตุการณ์ในอดีตเมื่อครั้งที่พระเจ้าปลดปล่อยคนอิสราเอลให้หลุดพ้นจากการเป็นทาสในอียิปต์เสมอ เพราะแท้จริงแล้วเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญนั้น มันเป็นสัญญาณถึงความรอดในยุคพระคุณของเราด้วย
เดโบราห์กล่าวต่อไปถึงคนอิสราเอลที่ถูกชาวคานาอันเบียดเบียน คอยปล้นสะดมจนทำไร่ทำนาไม่ได้ จนกระทั่งเดโบราห์นำพวกเขาจนได้รับชัยชนะและหลุดพ้นจากการถูกกดขี่ ทำให้อีกหลายๆเผ่าพลอยตื่นตัวลุกขึ้นสู้ศัตรู
ในข้อที่๒๓-๒๗ บอกว่าบางคนในอิสราเอลเห็นแก่ตัวมาก ไม่ยอมช่วยพี่น้อง แต่”ยาเอล”นั้นน่าสรรเสริญเพราะมีความกล้าหาญอย่างมาก ที่ใช้เหล็กขึงเต๊นท์ตอกขมับศัตรู
ในข้อต่อมาก็กล่าวถึงแม่ของ”ศิเศรา”ที่ถูกเหล็กตอกขมับตาย ว่าป่านนี้คงจะคอยบุตรสุดที่รักจะเอาของที่ริบได้จากอิสราเอลมาแบ่งให้ (เพราะปกติ มันน่าจะเป็นอย่างงั้น) แต่ว่าไม่มีทางที่ลูกจะกลับมาอีกแล้ว เพราะครั้งนี้เขาพ่ายแพ้แล้วก็ถูกฆ่าตาย......ส่วนตอนท้ายของบทเพลงก็เป็นการขอพรต่อพระเจ้า ให้ศัตรูนั้นพินาศไป และให้อิสราเอลเจริญรุ่งเรือง
ซัมการ์ ผวฉ.3:31 เรื่องของซัมการ์
ซัมการ์เป็นผู้วินิจฉัยของอิสราเอล ที่พระคำภีร์พูดถึงเป็นคนที่สามภายหลังเอฮูด ที่พระเจ้าส่งมาช่วยปลดปล่อยอิสราเอล ให้พ้นจากการเบียดเบียนของพวกฟิลิสเตีย ซึ่งเป็นชนชาติที่ค่อนข้างจะเข้มแข็งแล้วก็น่ากลัว ฟิลิสเตียเป็นคนทะเล ที่เริ่มบุกเข้ามายึดครองดินแดนคานาอันในช่วง1250ปีกคศ. ก็คือไล่เลี่ยกับสมัยของโยชูวา ส่วนชัมการ์ เป็นชาว “ฮูเรียน” หมายความว่าเป็นชาวต่างชาติไม่ใช่คนอิสราเอล เรื่องนี้ก็ทำให้เราเห็นภาพว่าพระเจ้าของเราทรงเป็นสากล ก็คือ..พระองค์เป็นพระเจ้าของคนทุกชาติไม่ได้เป็นพระเจ้าของอิสราเอลชาติเดียว เพราะฉะนั้นพระองค์จะใช้ใครก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นคนอิสราเอลเท่านั้น แล้วในข้อนี้ก็บอกว่า พระองค์ใช้ชัมการ์ให้ฆ่าชาวฟิลิสเตียไปมากถึงหกร้อยคน ดังนั้น ชัมการ์จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้วินิจฉัยคนหนึ่งของอิสราเอลเหมือนกัน
กิเดโอน ตอนที่๑ ผวฉ.6:1-40
ในสมัยของกิเดโอน คนอิสราเอลก็ทำชั่วในสายพระเนตรพระเจ้าอีก (ยังไง) อย่างเดิม...ก็คือหันไปไหว้พระอื่น เมื่อเราเรียนพระคำภีร์กันมาเรื่อยๆ เราจะรู้สึกได้เลยว่า...คนคานาอันกับคนอิสราเอลสมัยนั้นชอบบูชาพระบาอัลกันมากๆ เพราะอะไร เพราะคนส่วนใหญ่สมัยนั้น..เป็นเกษตรกร แล้วเชื่อกันว่า พระบาอัลเป็นเทพแห่งพายุและฝน มีอำนาจควบคุมอยู่เหนือผลผลิตทางการเกษตร จริงๆก็คือเหตุผลเดิมๆของคนทุกยุคทุกสมัยน่ะแหละ คือห่วงเรื่องปาก..เรื่องท้อง ฐานะความเป็นอยู่ของตัวเอง ถ้าเทียบกับสมัยนี้ก็คงจะเหมือนกับคนที่ชอบไปไหว้พระต่างๆ หรือเจ้าพ่อเจ้าแม่อะไรก็ตามที่เชื่อว่า....ถ้าไหว้แล้วจะทำให้เขารวย (อารมณ์เดียวกัน) แล้วเราก็เคยคุยกันไปหลายครั้งแล้วว่า เรื่องปากท้องหรือเงินเนี่ยเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์หวั่นไหวได้ง่ายมาก เพราะฉะนั้น มันก็ไม่แปลกเลยที่อิสราเอลจะสามารถรับเอาวัฒนธรรมผิดๆพวกนี้เข้ามาในชีวิตอย่างง่ายดาย จนกลายเป็นวงจรความบาปที่เกิดขึ้นอย่างซ้ำซาก
พระคำภีร์บอกว่า...ครั้งนี้พระเจ้าทรงมอบอิสราเอลไว้ในมือของชาวมีเดียนกับชาวอามาเลข คำว่า”มอบไว้ในมือ” ไม่ได้แปลว่าฝากฝังให้ช่วยดูแลนะ แต่แปลว่า “เป็นลูกไก่ในกำมือ” ยังไงยังงั้นเลย (จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด) ในข้อ๓.บอกว่า “เพราะคนอิสราเอลหว่านพืชเมื่อไหร่ คนมีเดียนกับคนอามาเลข ก็มาปล้นเอาไปจนหมดทั้งพืชผลและฝูงสัตว์” ข้อที่๕.บอกว่า “เขามาเหมือนตั๊กแตนเป็นฝูงๆ..” เปรียบเทียบกองทัพของศัตรูเป็นฝูงตั๊กแตน แปลว่า มากันเยอะจนตาลายนับไม่ถ้วน
เมื่อคนอิสราเอลร้องทุกข์กับพระเจ้า เพราะทนไม่ไหวแล้วถูกเขารังแก สู้เขาไม่ได้ กลัวมากจนต้องไปหลบอยู่ตามถ้ำ พระเจ้าจึงทรงเรียก “กิเดโอน” กิเดโอนเป็นใคร เป็นคนสำคัญของอิสราเอลรึเปล่า เป็นคนที่เกิดในตระกูลใหญ่โตใช่มั๊ย หรือว่าเป็นคนที่กล้าหาญจนออกหน้าออกตา......
ไม่ใช่ซักอย่างเดียว พระคำภีร์ผวฉ.6:15 บอกว่า “กิเดโอน ทูลพระเจ้าว่า ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์จะช่วยคนอิสราเอลได้อย่างไร ดูเถิด ตระกูลบิดาของข้าพระองค์ต่ำต้อยที่สุดในเผ่ามนัสเสห์ (อันนี้น่าจะหมายถึงมีฐานะ..ต่ำต้อยที่สุด) และตัวข้าพระองค์ก็เป็นคนเล็กน้อยที่สุดในครอบครัว (คนเล็กน้อยตามความหมายที่พระคำภีร์เคยใช้นั้นมีตั้งแต่... เป็นคนไม่สำคัญ ไม่ได้มีบทบาทหรือหน้าที่ๆสำคัญอะไรในครอบครัวหรืออาจจะหมายถึงยังเด็กอยู่ ยังไม่เป็นผู้ใหญ่) .....หรือว่า พระเจ้าทรงเรียกกิเดโอน เพราะเขาเป็นคนกล้าหาญรึเปล่า ไม่ใช่แน่,,,ย้อนกลับไปดูข้อที่๑๑. ข้อนี้บอกเราว่าอะไร..... ตอนที่พระเจ้าเรียกกิเดโอน กิเดโอนนวดข้าวอยู่ที่ไหน พระคำภีร์บอกว่า”เขากำลังนวดข้าวอยู่ในบ่อย่ำองุ่น” กล้าหาญมั๊ยล่ะ... “ขนาดจะนวดข้าว ยังต้องหลบไปนวดในบ่อย่ำองุ่น เพราะกลัวคนมีเดียนจะเห็น”
เพราะฉะนั้น หลายต่อหลายครั้งแล้วที่เด็กๆได้เห็นว่า พระเจ้าไม่ได้เลือกที่จะรักใคร หรือเลือกคนหนึ่งคนใดจากฐานะชาติตระกูล แล้วพระเจ้าก็ไม่ได้เลือกที่ความสามารถ แล้วก็ไม่ใช่...คนดีเท่านั้นด้วยนะ ที่จะได้รับความรอด สัญญาณอันนี้พระเจ้าแสดงให้เราได้เห็นตลอดเวลา น้าตุ๊กเลยอยากจะให้เด็กๆมั่นใจให้ได้จริงๆว่า ไม่ว่าเราจะเกิดมาเป็นแบบไหน ถ้าพระเจ้าเลือกเราให้มาเป็นลูกของพระองค์แล้ว ทุกคนสามารถได้รับความรอดอย่างเท่าเทียมกัน รอดก็คือรอด ไม่มีรอดมาก รอดน้อย เช่นเดียวกันกับความเชื่อ ที่น้าตุ๊กเคยสอนไปแล้ว ว่ามีแค่สองอย่าง คือเชื่อ กับไม่เชื่อ ไม่มีเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ไม่มีคะแนน50เต็ม100 หรือว่า 70 เต็ม 100 99.99 ก็ไม่มี มีแค่ 0 กับ 100 คะแนนเต็มเท่านั้น และเด็กๆอย่าสับสนระหว่าง "คนที่ไม่มีความเชื่อ กับคนที่จิตวิญญาณยังไม่เติบโตนะ เพราะสองกลุ่มนี้ถ้าดูเผินๆบางครั้งก็จะคล้ายกัน แต่ความจริงไม่เหมือนกันเลย"
อย่างที่น้าตุ๊กพูดไปแล้วว่า...ไม่ใช่คนดีเท่านั้นที่พระเจ้าจะทรงเลือกเข้ามารับความรอด เพราะฉะนั้น เราก็ควรจะเข้าใจไว้ด้วยเช่นกัน....ว่าพระเจ้ายังทรงรักคนบาป รักคนที่ไม่น่ารัก รักคนที่โลกอาจจะประนามว่าเป็นคนไม่ดี แล้วเราเป็นใคร...เราเป็นลูกของพระองค์ซึ่งต้องดำเนินตามพระลักษณะของพระองค์จนสุดกำลัง แล้วเราก็เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งซึ่งต้องขอพระเมตตาจากพระเจ้า เป็นเพียงคริสเตียนที่จดจ่อรอการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น ตรงจุดนี้น้าตุ๊กอยากจะให้เด็กๆใจกว้างกับทุกคน เพราะพระคำภีร์บอกว่า...จะมีประโยชน์อะไร ถ้าเรารักแต่คนที่ทำดีกับเรา...เพราะคนต่างความเชื่อเขาก็ทำกันอย่างนั้น แล้วถ้าเราเลือกที่จะรักแต่คนที่เราพอใจ รักเฉพาะคนที่รักเรา เราก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า
การรักศัตรูหรือรักคนที่เขาทำร้ายเราไม่ใช่เรื่องง่าย อันนี้ขอพูดตรงๆ ถ้าใครบอกว่าฉันทำได้ทันทีที่มาเชื่อพระเจ้า น้าตุ๊กไม่ค่อยอยากจะเชื่อ (แต่อาจจะมีก็ได้นะ...ถ้าป็นกรณีพิเศษสุดๆที่พระเจ้าเสริมกำลัง แต่ยังไม่เคยเห็น) ตามประสบการณ์ของน้าตุ๊กเราจะไม่สามารถทำได้ในเวลาสั้นๆ แต่เราจะค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปทีละน้อย น้อยจริงๆ...น้อยจนไม่สามารถรู้สึกได้ในวันต่อวัน จำได้มั๊ยที่น้าตุ๊กเคยสอน เขาใช้คำว่า “เมตามอร์โฟลิส” บรรยายภาพความงดงามของการเปลี่ยนแปลงทางฝ่ายวิญญาณของเรา เพราะเมตามอร์โฟลิสเป็นภาษากรีก แปลว่า การเปลี่ยนแปลงซึ่งใช้บรรยายการเปลี่ยนแปลงอันน่าทึ่งที่ “หนอนกลายเป็นผีเสื้อ” ถ้าเด็กๆเคยดูสาระคดีเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็จะเข้าใจและเห็นภาพชัดเจนขึ้น และการเปลี่ยนแปลงทางฝ่ายวิญญาณนี้เป็นขั้นตอนสำคัญอันหนึ่งที่จะนำเราไปสู่ความไพบูลย์ในองค์พระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น เราจะไม่สามารถมองเห็นจิตวิญญาณ ความประพฤติ หรือการดำเนินชีวิตของเราเปลี่ยนแปลงไปภายในวันเดียว หรือเดือนเดียว แต่เราจะมองเห็นความเปลี่ยนแปลงของเราได้ทุกครั้งเมื่อเรามองย้อนกลับไปในอดีตที่ผ่านมานานแล้ว....นานแค่ไหนแต่ละคนคงไม่เท่ากัน บางคนห้าปี บางคนสิบปี ยี่สิบปี หรือแม้กระทั่งจะต้องใช้เวลาเกือบทั้งชีวิต ก็ขึ้นอยู่กับน้ำพระทัยพระเจ้า
แล้วก็เช่นกันเราไม่สามารถที่จะเลือกปฏิบัติตามคำสอนของพระเจ้า...แค่บางเรื่อง หรือเลือกเอาเฉพาะที่เราชอบ แล้วคิดว่าอันไหนที่ไม่ชอบ....ฉันก็จะไม่ทำ ฉันจะทำแต่ที่ฉันชอบ อย่างงี้...ไม่ได้ ถ้าใครคิดแบบนี้ คงต้องไปเคลียร์กับพระเจ้าเอง อาจจะไม่มีใครมาว่าเราหรอก แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำ เราจะต้องรับผิดชอบมันต่อพระพักตร์พระเจ้า
ดูต่อไปในข้อที่๑๓ กิเดโอนบอกว่า “...แต่สมัยนี้ พระเจ้าทรงทอดทิ้งเราเสียแล้ว” (มันใช่.มั๊ยเนี่ย) จริงๆแล้วเด็กๆว่า ใครทิ้งใครก่อน ทุกครั้งที่พระเจ้าพิพากษาพวกเขา ก็เป็นเพราะว่าอิสราเอลน่ะแหละ ที่ทิ้งพระเจ้าไปไหว้พระอื่น จนพระองค์ต้องตีสอน แต่ข้อนี้กิเดโอนพูดหน้าตาเฉยว่าพระเจ้าทิ้งพวกเขา...งงมะ นี่แหละ..มนุษย์ ชอบโทษคนอื่นอยู่เรื่อยไป ฉันต้องถูกเป็นคนแรก และจะขอผิดเป็นคนสุดท้าย
หลังจากนั้น พระเจ้าก็ทรงสัญญากับกิเดโอนว่า “เราจะอยู่กับเจ้าแน่ แล้วเจ้าจะโจมตีคนมีเดียนเหมือนกับโจมตีคนๆเดียว” หมายความว่า กิเดโอนจะเอาชนะศัตรูได้อย่างง่ายๆ
กิเดโอนเริ่มทำการที่เรียกว่า ปฏิรูปบ้านเมืองตามบัญชาของพระเจ้า โดยคำสั่งแรกที่พระเจ้าสั่งให้ทำคือ ไปพังแท่นบูชาของพระบาอัล แล้วพอเช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อชาวเมืองเห็นแท่นบูชาของพวกเขาถูกทำลายก็ยกกันมาหาโยอาช พ่อของกิเดโอน บอกให้ส่งตัวกิเดโอนออกมาเพื่อที่พวกเขาจะได้เอาหินขว้าง กิเดโอนจนตาย
เปิดไปดูฉธบ.13:6-11
จริงๆพระบัญญัติบอกว่า ใครที่ควรจะต้องถูกหินขว้างจนตาย คนที่ไหว้รูปเคารพหรือคนที่หันไปไหว้พระอื่นต่างหากที่ต้องถูกหินขว้างจนตาย แต่แทนที่จะเป็นอย่างงั้น คนอิสราเอลกำลังจะเอาหินขว้างกิเดโอนให้ตายเพราะเขาทำลายแท่นบูชาของพระเทียมเท็จ เห็นหรือยัง.... ความเชื่อของคนอิสราเอลผิดเพี้ยนไปมากขนาดไหน คริสเตียนก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่ระวัง...ความเชื่อของเราก็มีสิทธิที่จะผิดเพี้ยนได้เหมือนกัน เราเองก็จะสามารถหลงทางได้ตลอดเวลาเหมือนอิสราเอลในสมัยนั้น เด็กๆบางคนอาจจะกำลังสงสัยว่า...แล้วจะให้ระวังยังไง เราก็จะต้องติดสนิทกับพระเจ้าด้วยการมาโบสถ์ เรียนพระคำภีร์ อ่านพระคำภีร์ แล้วที่สำคัญอีกอย่างก็คือ เรื่องไหนที่เราไม่รู้หรือไม่แน่ใจก็ให้เราปรึกษาศิษยาภิบาล
ในข้อที่๓๑.บอกว่า แต่โยอาช (ซึ่งจริงๆเป็นคนดูแลศาลของพระบาอัล) ได้ตอบชาวอิสราเอลว่า “พวกท่านจะออกโรงแทนพระบาอัลหรือ จะพยายามช่วยพระบาอัลหรือไง ใครสู้แทนพระบาอัลจะต้องถูกฆ่าตายในเช้าวันนี้ แล้วอีกอย่างถ้าพระบาอัลมีจริงหรือศักดิ์สิทธิ์จริง เขาต้องปกป้องตัวเองได้ถ้าจะมีใครมารื้อแท่นของเขา” โยอาชพูดแค่นั้น คนอิสราเอลตาสว่างทันที ทุกคนสำนึกผิดกลับใจใหม่หันมาร่วมแรงร่วมใจกับกิเดโอนต่อสู้คนมีเดียน หลังจากนั้นมากิเดโอนก็เลยได้อีกชื่อหนึ่งว่า “เยรุบบาอัล” แปลว่า “ให้บาอัลสู้คดีเอง”
หลังจากนั้น เมื่อชาวมีเดียนกับชาวอามาเลขยกทัพข้ามน.จอร์แดนมาตั้งค่ายเตรียมจะปล้นคนอิสราเอลเหมือนเคย พระวิญญาณของพระเจ้าก็สถิตกับกิเดโอน....กิเดโอนก็ส่งผู้สื่อสารไปตามเผ่าอื่นให้มาร่วมรบ รวมกันแล้วก็มีหลายหมื่นคน แต่กิเดโอนก็ยังไม่มั่นใจ จึงก็ขอหมายสำคัญจากพระเจ้า....โดยเอาขนแกะไปวางไว้กลางแจ้ง แล้วกิเดโอนก็ขอพระเจ้าว่า...ให้มีน้ำค้างเฉพาะบนขนแกะเท่านั้น ส่วนบริเวณรอบๆนั้นแห้ง พระเจ้าก็ทรงบันดาลให้เป็นตามที่ขอ เสร็จแล้วกิเดโอนก็ขออีก เหมือนเซ้าซี้ แต่ทำไมพระเจ้าไม่โกรธ ดูข้อที่๓๙.(อ่าน) “....ขออย่าให้พระพิโรธพลุ่งขึ้นต่อข้าพระองค์ ขอข้าพระองค์ทูลอีกสักคครั้งเดียว” หมายความว่า พระเจ้าไม่โกรธถึงแม้กิเดโอนจะเซ้าซี๊ขออัศจรรย์อย่างซ้ำซาก เพราะว่ากิเดโอนขอด้วยความถ่อมสุภาพและด้วยจิตใจที่ยำเกรงพระองค์......เรื่องนี้ก็ทำให้เราได้คิดว่า พระเจ้ามองดูที่หัวใจและเจตนาของเราเสมอ เพราะฉะนั้น ต่อให้เราผิดพลาดหรือทำอะไรโง่ๆซักกี่ครั้งกี่หน พระเจ้าก็ไม่โกรธ....ถ้าเราไม่ได้ตั้งใจ หรือทำลงไปเพราะจิตใจที่เย่อหยิ่ง ไม่เชื่อฟัง อีกครั้ง..กิเดโอนบอกว่าอะไร ขอให้ขนแกะนั้นแห้ง แต่ให้บริเวณโดยรอบนั้นเปียกน้ำค้าง ? แล้วคืนวันนั้นพระเจ้าก็กระทำตามที่กิเดโอนขออีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ทำให้กิเดโอนมีความมั่นใจอย่างมาก
กิเดโอน ตอนที่๒ ผวฉ.7:1-25
เมื่อกิเดโอนเตรียมที่จะรบกับคนมีเดียน พระเจ้าได้บอกเขาว่า กองทัพของเจ้ามีกำลังคนมากเกินไป เราจะไม่ให้เจ้ารบชนะคนมีเดียนด้วยกำลังคนมากมายขนาดนี้ เพื่อที่ชาวอิสราเอลจะไม่สามารถอวดได้ว่าพวกเขาชนะด้วยเรี่ยวแรงกำลังของตัวเอง เสร็จแล้วพระเจ้าก็ให้ประกาศกับทหารทุกคนว่า “ใครที่กลัวจนตัวสั่น ก็ให้กลับบ้านไป หรือไม่ก็ลงไปจากกิเลอาด ปรากฎว่า มีคนกลับไปสองหมื่นสองพันคน เหลืออยู่หนึ่งหมื่นคน พระเจ้าก็บอกว่า ยังมีคนเยอะเกินไป แล้วพระองค์ก็ทรงกระทำให้เหลือแค่สามร้อยคน ด้วยวิธีของพระองค์ คือ บอกให้คนเหล่านี้ไปดื่มน้ำในลำธาร แล้วเลือกเอาเฉพาะคนที่ใช้มือวักน้ำขึ้นมาดื่ม คือใช้ลิ้นเลียน้ำคล้ายๆสุนัข.....ให้ไปร่วมรบ ส่วนคนที่คุกเข่าก้มลงดื่มน้ำนั้นให้กลับบ้านไป รวมแล้วคนที่จะไปร่วมรบกับกิเดโอนมีแค่...สามร้อยคน
ประเด็นสำคัญของเรื่องนี้คือ เราจะได้ระลึกอยู่เสมอว่า”พระเจ้า คือ ผู้ประทานความสำเร็จ”
หลายครั้งพระเจ้าอาจจะต้องทำอย่างงี้ ถ้าพระองค์เห็นว่ายังมีความเย่อหยิ่งอยู่ในใจของเรา เพราะพระองค์ก็รู้ล่วงหน้าแล้วว่า เราจะคิดอะไรถ้าเราประสบความสำเร็จในขณะที่มีตัวช่วยเยอะแยะมากมาย หรือมีความพร้อมทางปัจจัยในทุกๆด้าน เด็กๆเข้าใจมั๊ยคะ อย่างเรื่องกิเดโอนเงี้ย ถ้าพระเจ้าไม่จำกัดคนที่ไปรบให้เหลือแค่สามร้อย เมื่อพวกเขาชนะ พวกเขาก็อาจจะแอบคิดได้ว่า เออ...พวกเราคงชนะเพราะมีกำลังคนมาก หรือ ฉันนี่มันก็เจ๋งเหมือนกัน เพราะฉะนั้น... ถ้าพระเจ้าไม่ปลดอาวุธหรือเอาตัวช่วยบางอย่างออกไปจากชีวิตเราซะบ้างเนี่ย บางทีวันที่เราประสบความสำเร็จ.....เราก็อาจจะหลงคิดไปได้เหมือนกันว่า.......เพราะฉันเก่ง....เพราะฉันดี....หรือไม่ก็ฉันแน่กว่าคนอื่น
เมื่อเข้าใจอย่างงี้แล้ว ถ้าวันไหนพระเจ้าทรงอนุญาตให้เราตกอยู่ในสถานะการณ์เดียวกันกับกิเดโอนก็จงก้มศีรษะลงขอบพระคุณ เพราะนั่นคือสิ่งที่ดีและปลอดภัยต่อความเชื่อของเรา แต่สถานะการณ์ของเรากับกิเดโอนอาจจะไม่เหมือนกันซะทีเดียว อาจจะถูกประยุกต์ให้แตกต่างกันนิดหน่อย เช่น สมมติว่าเรากำลังจะตกงาน ช่วงที่ทำงานอยู่ก็เห็นใสๆว่ามีเงินเหลือเก็บ แต่พอตกงานปุ๊บ....ถึงเวลาต้องหาอะไรทำหรือเริ่มต้นทำการค้าของตัวเอง ในทันใดนั้นพระเจ้าก็ทรงเห็นว่า เฮ้ย..มีทุนมากไป ว่าแล้วพระเจ้าก็ทรงตัดกำลังทรัพย์ของเรา เหมือนที่ทรงตัดกำลังทหารของกิเดโอน ให้เราเหลือเงินลงทุนน้อยมากๆ ก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นสิ่งที่ดี เพราะไม่ว่าจะมีทุนมาก ทุนน้อยหรือแม้แต่ไม่มีทุนเลย พระเจ้าก็สามารถประทานความเจริญรุ่งเรืองให้เราได้แน่นอน และตามประสบการณ์แล้ว...น้าตุ๊กเคยลงทุนทำการค้าด้วยเงินหลักล้าน แล้วก็พังพินาศไม่เป็นท่าจนแทบไม่มีแผ่นดินจะอยู่ แต่กลับเคยได้รับความสำเร็จเมื่อครั้งที่มีเงินทุนไม่ถึงหลักพัน (พูดจริงนะ ไม่ได้เว่อร์ นี่มันกิเดโอนชัดๆ) แต่ยังไงก็ตามสำหรับน้าตุ๊กแล้วมันมีค่ามากทั้งสองประสบการณ์ มีค่ามากจริงๆเพราะน้าตุ๊กได้ดื่มด่ำทั้งความทุกข์ที่แสนสาหัสและความสุขที่มันแทบจะล้นสำลักออกมาทางจมูก ทั้งความทุกข์ยากและความสุขสำราญที่พระเจ้าประทานให้น้าตุ๊กนั้นบอกได้คำเดียวว่า...มันแทงลึกถึงไขข้อกระดูกได้พอกันอย่างยุติธรรมเลยทีเดียว ถ้าเลือกได้คงไม่มีใครที่อยากจะล้มเหลว แต่สำหรับคนที่เคยทุกข์ยากแสนสาหัสมาแล้วก็คงจะคิดเหมือนน้าตุ๊กว่า “เวลาที่มองกลับไปมันก็ขำๆดี ถึงแม้ว่าในขณะที่เผชิญกับมันจะขำไม่ออก” อยากจะหนุนใจคนที่กำลังเผชิญกับปัญหาว่ามันเป็นสิ่งที่ดีแน่นอนสำหรับเรา แต่ถ้าตอนนี้รู้สึกหน้ามืดขำไม่ออก ยังมองไม่เห็นข้อดีก็คิดซะว่า มันเป็นประสบการณ์ ที่อย่างน้อยตอนแก่จะได้มีอะไรมันส์ๆเล่าให้ลูกหลานฟังมั่ง มันจะได้ไม่เบื่อเรา..(เห็นมะ..มีข้อดีจนได้)
พระคำภีร์บอกต่อไปว่า กิเดโอนแอบได้ยินคนมีเดียนคุยกันว่า....เขาฝันเห็นขนมบารลีก้อนหนึ่งกลิ้งเข้ามาในค่าย แล้วทำให้เต๊นท์ของคนมีเดียนพังราบไป ซึ่งก็หมายถึงคนอิสราเอลจะมาทำลายกองทัพของคนมีเดียน จริงๆแล้ว พวกเขาไม่น่าจะกลัวเพราะอิสราเอลไม่น่าจะทำอะไรพวกเขาได้ แต่พอกิเดโอนได้ยินอย่างงั้นจิตใจก็ฮึกเหิม หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น
ในตอนกลางคืนที่ค่ายของพวกมีเดียนก็เกิดเหตุการณ์ประหลาด ขณะที่พวกทหารนอนหลับ กิเดโอนคิดอุบาย ให้ทหารอิสราเอลถือเขาสัตว์และหม้อที่มีคบเพลิงคนละใบ แล้วสั่งทหารว่า “จงคอยดูว่าเรากระทำอย่างไร ก็ให้กระทำตาม” คืนนั้นทหารอิสราเอลที่ยืนล้อมอยู่นอกค่าย ก็ได้รับสัญญาณจากกิเดโอนให้เป่าเขาสัตว์ แล้วทุกคนก็ต่อยหม้อในมือที่ถืออยู่คนละใบให้แตก ปรากฎว่าทหารชาวมีเดียนก็เลยตกใจประสาทหลอน แล้วพระเจ้าก็กระทำให้พวกเขาฆ่าฟันกันเองอย่างวุ่นวาย สุดท้ายทหารมีเดียนก็พยายามหนีเอาตัวรอด
แต่กิเดโอนก็ไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ ให้คนไปส่งข่าวที่เผ่าเอฟราอิมให้ออกมาคอยสกัดศัตรูที่กำลังจะหนี คนเอฟราอิมก็ได้จับเจ้านายคนสำคัญของชาวมีเดียน..แล้วก็ฆ่าทิ้งเก็บเอาหัวกลับมาให้กิเดโอน
วันนี้เวลาหมด เดี๋ยวสัปดาห์หน้าเราจะมาต่อกิเดโอนตอนที่สามกัน
พระเจ้าอวยพรค่ะ

วันพุธที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2552

หนังสือผู้วินิจฉัย ครั้งที่2

สวัสดีค่ะเด็กๆ ไม่เจอกันสองสัปดาห์ วันนี้กลับมาเรียนพระคำภีร์กันต่อ ในหนังสือผู้วินิจฉัยครั้งที่สอง คราวที่แล้วน้าตุ๊กสอนบทนำของหนังสือผวฉ.ไปแล้ว ช่วงต่อมาของพระคำภีร์จะเป็นเรื่องราวของอิสราเอลในสมัยของผวฉ.แต่ละคนซึ่งจะเป็นรายละเอียดที่เราควรจะเรียนรู้ แต่ประเด็นที่ควรจะเรียนรู้มันไม่ใช่แค่ว่า “มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง” แต่เราควรที่จะคิดให้ลึกลงไปซักหน่อยว่า “มันเกิดขึ้นได้ยังไง ทำไมมันถึงเป็นหยั่งงี้ คือ เกิดความบาปซ้ำซาก จนสามารถเรียกได้ว่า มันเป็นวงจรแห่งความบาป แล้วที่สำคัญมันสอนอะไรเรา เราจะป้องกันไม่ให้วงจรบาปนี้มันเกิดขึ้นกับเราได้ยังไง
เพราะฉะนั้นในสเต็ปแรก เราจะเรียนเรื่องราว รายละเอียดที่เกิดขึ้นในสมัยของผวฉ.แต่ละคนซะก่อน โดยในสเต็ปนี้ น้าตุ๊กจะให้เด็กๆอ่านพระคำภีร์เอง แล้วลองฝึกจับใจความเนื้อหาของแต่ละตอนมาเล่าให้เพื่อนๆฟัง เราอาจจะไปกันช้าซักหน่อย (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับผู้ที่ติดตามทางเว็ปไซต์)แต่น้าตุ๊กว่า เด็กๆจะได้ประโยชน์มากขึ้นเพราะทุกคนต้องตั้งใจมากขึ้น
แล้วหลังจากสเต็ปนี้ น้าตุ๊กจะโยงเรื่องของสมัยผวฉ.เนี้ย เข้ากับพระคำภีร์ใหม่ แล้วเราจะมาดูกันว่า วงจรความบาปมันเริ่มจากอะไร แล้วเราจะป้องกันมันได้ยังไง (เราจะไม่เรียนพระธรรมเล่มนี้ เพื่อที่จะรู้เรื่องราวในอดีตเพียงอย่างเดียว แต่เราจะวิเคราะห์ให้เห็นถึงสาเหตุ เพื่อที่จะได้รู้เท่าทันความบาปแล้วก็ป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้นกับเรา)
ชนชาติที่พระเจ้าเหลือไว้เพื่อทดสอบอิสราเอล
ดูผวฉ.3:1-4 ข้อนี้บอกว่า เหตุผลที่พระเจ้าทรงเหลือคนคานาอันไว้ก็เพื่อที่จะทดสอบอิสราเอล ว่าพวกเขามั่นคงที่จะสัตย์ซื่อกับพระองค์มั๊ย ชนชาติที่พระเจ้าเหลือไว้และเป็นหอกข้างแคร่ของอิสราเอล ก็มีทั้งชาวไซดอน คนฮีไวต์ รวมถึงคนทะเลที่เพิ่งบุกรุกเข้ามาในคานาอันอย่างพวกฟิลิสเตียด้วย
โอทนีเอล ดูผวฉ.3:7-11
นี่คือกรณีแรกในหนังสือผวฉ.ที่อิสราเอลกบฎต่อพระเจ้าหันไปกราบไหว้พระอื่น ข้อที่๘บอกว่า “พระเจ้าจึงขายเขาไว้ในมือศัตรู..” คำว่าทรงขาย ก็เป็นสำนวน หมายถึง ปล่อยให้ตกเป็นทาส ก็คือ อิสราเอลได้ตกเป็นทาสของ ก.คูชันริชาธาอิม อยู่นาน ๘ ปี หลังจากนั้นพระเจ้าจึงส่ง”โอทนีเอล”ให้มาปลดปล่อยอิสราเอล
เอฮูด ผวฉ.3:12-30
การถูกรุกรานของอิสราเอล ครั้งที่สองนี้มาจากทางภาคตะวันออก คือชาวโมอับ อัมโมน และคนอามาเลขรวมกำลังกันโจมตีอิสราเอล เพราะพวกเขากบฎต่อพระเจ้าไปไหว้พระอื่น ในข้อที่๑๒ บอกว่า “พระเจ้าทรงเสริมกำลังเอกโลน ก.โมอับ..” แปลว่าไร ก็แปลว่าไม่ใช่เพราะศัตรูนั้นเข้มแข็งกว่าอิสราเอล หรือในเวลาที่อิสราเอลได้รับชัยชนะ ก็ไม่ใช่เพราะเก่งกว่าคนชาติอื่น แต่ตรงจุดนี้ หมายถึง พระเจ้าทรงเป็นผู้ควบคุม ใครจะแพ้หรือชนะ ใครจะตายใครจะรอด ใครจะสุขหรือทุกข์ ก็ขึ้นอยู่กับพระองค์ทั้งสิ้น ในข้อที่๑๓บอกต่อไปว่า ศัตรูตีได้เมืองดงอินทผลัม หมายถึง เมืองเยรีโค ซึ่งเป็นเมืองเศรษฐกิจที่สำคัญ (ก็คงจะเป็นเพราะ มีผลผลิตทางการเกษตรอุดมสมบูรณ์) อยู่ในเขตแดนของเผ่าเบนจามิน เรื่องนี้ก็ทำให้เราคิดได้ว่า หลายครั้งที่คริสเตียนทำผิด พระเจ้าก็ทรงอนุญาตให้เราเกิดปัญหา...การเงิน
เพราะ”เงิน”คือจุดอ่อนของมนุษย์ มันเหมือนเป็นวิธีง่ายๆขั้นพื้นฐานด้วยซ้ำที่ทำให้มนุษย์อ่อนไหว ไม่ว่าจะมีมันมากล้น หรือน้อยจนไม่พอเพียง พระเจ้าก็สามารถใช้เงินเป็นเครื่องมือในการทดสอบมนุษย์ ที่หวังผลได้แน่นอน (ไม่มากก็น้อย)
ในครั้งนี้พระเจ้าทรงประทานผู้วินิจฉัยอีกคน ชื่อเอฮูด คนเผ่าเบนจามิน ซึ่งพระคำภีร์ระบุว่าเป็นคนถนัดซ้าย ให้มาช่วยปลดปล่อยอิสราเอล เอฮูดได้รับมอบหมายให้เป็นผู้นำส่วยไปส่งให้เอกโลน ก.โมอับ แล้วเขาก็ออกอุบายขอเข้าเฝ้ากษัตริย์เป็นการส่วนตัว เสร็จแล้วก็ใช้มีดที่แอบพกไว้ฆ่าเอกโลนตาย แล้วก็รีบหนีมาเป่าแตรเรียกกองทหารของเอฟราอิมให้ออกมาช่วยรบ จนในที่สุดก็เอาชนะพวกโมอับได้ ทำให้แผ่นดินอิสราเอลมีความสงบสุขอยู่นานแปดสิบปี
เดโบราห์ ผวฉ.4:1-24
ความจริงเมืองฮาโซร์เนี่ยถูกอิสราเอลทำลายไปแล้วในสมัยของโยชูวา แต่ชาวเมืองที่หนีรอดไปได้ เขากลับมาสร้างเมืองนี้ขึ้นใหม่แล้วค่อยๆแผ่ขยายอำนาจออกไป จนยึดครองเขตแดนของเผ่าเศบูลุนกับนัฟทาลีได้ในที่สุด อิสราเอลก็เลยถูก”ยาบิน”เจ้าเมืองนี้กดขี่อยู่นานยี่สิบปี พระเจ้าจึงทรงได้ประทานผู้วินิจฉัยชื่อ”เดโบราห์”ให้มาช่วยคนอิสราเอล
ในข้อนี้บอกว่า เดโบราห์ ได้สั่งให้”บาราค”แม่ทัพของอิสราเอล นำกองทัพขึ้นไปบนเขาทาโบร์ เป็นอุบายที่จะทำให้”สิเสรา”แม่ทัพของศัตรูคิดว่าอิสราเอลกำลังกบฎ จะได้นำรถรบกับกองทหารไล่ตามออกมาตรงที่ราบข้างๆลำธารคีโซน ซึ่งบริเวณนั้นอยู่ข้างล่างของเขาทาโบร์
ทุกอย่างเป็นไปตามแผนของเดโบราห์ ฝ่ายศัตรูยกรถรบออกมา900คันในขณะที่อิสราเอลไม่มีรถรบเลย แต่ในข้อที่๑๕บอกว่าพระเจ้าทรงทำให้กองทัพของศัตรูเกิดการโกลาหล แตกตื่นพ่ายแพ้อิสราเอล แล้วสิเสราแม่ทัพของศัตรูก็หนีไป
สิเสราหนีไปซ่อนตัวที่เต๊นท์ของเพื่อนเก่า หวังว่าจะปลอดภัยแต่พอไปถึงเพื่อนไม่อยู่ อยู่แต่ภรรยาชื่อ”ยาเอล” ยาเอลก็เชิญให้สิเสราเข้าไปพักผ่อน หาน้ำให้ดื่มต้อนรับขับสู้อย่างดีแต่พอสิเสราหลับยาเอลก็เอาหลักขึงเต๊นท์ตอกขมับเขาตายคาที่ ทำไมถึงเป็ยหยั่งงี้ เพราะสิ่งหนึ่งที่สิเสราไม่รู้ก็คือยาเอลอยู่ฝ่ายอิสราเอล เขาก็เลยเหมือนหนีเสือปะจระเข้โดยไม่รู้ตัว