วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2552

หนังสือผู้วินิจฉัย ครั้งที่1

พระธรรมผู้วินิจฉัย เป็นหนังสือบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลังจากที่โยชูวานำชาติอิสราเอลเข้ามาอยู่ในคานาอันแล้วประมาณ 200 ปี
จุดประสงค์ของหนังสือ “ผู้วินิจฉัย”
1.เพื่อให้ประชากรของพระเจ้าระลึกอยู่เสมอว่า ความรักและสัตย์ซื่อในพระเจ้าคือสิ่งสำคัญที่สุด
2.เพื่อแสดงให้เห็นถึงสภาพชีวิตและเสถียรภาพของชาติอิสราเอลหลังจากที่โยชูวาสิ้นชีวิตไปแล้ว
3.เพื่อสำแดงให้เห็นถึงพระกรุณาอันชอบธรรม อย่างไม่มีที่สิ้นสุดของพระเจ้า เพราะไม่ว่าคนของพระองค์จะทำผิดซ้ำซากมากแค่ไหน แต่เมื่อพวกเขากลับใจใหม่....ร้องหาพระเจ้า พระองค์ก็ทรงอภัยให้และช่วยเหลือลูกๆของพระองค์เสมอ
ประเด็นหนึ่งที่อยากให้เด็กๆมองภาพของหนังสือผู้วินิจฉัย ก็คือ หลังจากที่โยชูวาเสียชีวิตไปแล้ว อิสราเอลก็ไม่มีผู้นำ.........
ในเวลาที่อิสราเอลขาดผู้นำหลังจากที่โยชูวาตายไปแล้วนั้น ขณะเดียวกันพวกเขาตกอยู่ในช่วงที่ต้องปรับตัวอย่างมาก เพราะหลังจากที่ได้แบ่งเขตแดนกันแล้ว รูปแบบความเป็นอยู่ทางสังคมของอิสราเอลก็เปลี่ยนไป พวกเขาต้องแยกกันอยู่หลังจากที่เคยอยู่รวมกันมานาน จากที่เคยมีผู้นำคอยบอกให้ไปซ้ายไปขวา คอยตักเตือนในเวลาที่พวกเขาทำผิด หรืออธิฐานเพื่อพวกเขาเสมอในเวลาที่พวกเขาหมดหนทาง ตอนนี้ก็ไม่มี.... ต้องอยู่แบบตัวใครตัวมัน นอกจากนี้ ยังต้องอยู่ปะปนกับชาวคานาอันด้วย เพราะในหนังสือยชว.บอกไว้ชัดเจนว่าอิสราเอลไม่สามารถขับไล่หรือทำลายชาวคานาอันให้หมดสิ้นไปได้ และในผวฉ.ก็บอกไว้เช่นกัน
อ่าน ผวฉ.1:21 ผวฉ. 1:27 ผวฉ. 1:29-30 ผวฉ.1:32-33
ข้อพระคำภีร์เหล่านี้ยืนยันว่า อิสราเอลต้องอยู่ร่วมกับคนคานาอัน เพราะฉะนั้นทุกอย่างต้องเรียนรู้ใหม่ แล้วบางทีก็ต้องยืมวัฒนธรรมของคนพื้นเมืองเดิมมาใช้ (เด็กๆอาจจะคิดว่า เอ๊ะ!แล้วทำไมต้องยืมของเขามาใช้ด้วย เพราะน้าตุ๊กเคยบอกว่าวัฒนธรรมหรือประเพณีนั้นเป็นสิทธิอำนาจที่พึ่งพาไม่ได้)
เพราะบางครั้ง วัฒนธรรมก็เป็นเรื่องของภูมิปัญญาที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้เหมาะสมกับการดำรงชีวิตของมนุษย์ในแต่ละท้องถิ่น หมายความว่า บางทีมันก็มีส่วนทำให้ชีวิตง่ายขึ้น แล้วถ้ามันไม่ขัดกับทางของพระเจ้า....อิสราเอลก็สามารถจะยืมมาใช้ได้ อย่างเช่น ปัจจุบันนี้...บางท้องถิ่นอาจจะมีการช่วยเหลือกันในฤดูเก็บเกี่ยว ผลัดกันไปช่วยเพื่อนบ้านเกี่ยวข้าว ถือเป็นวัฒนธรรมหรือประเพณีของท้องถิ่น อันนี้โอเค เพราะมันทำให้ชีวิตง่ายขึ้น เป็นผลดีกับทุกคนและไม่ขัดกับพระบัญญัติของพระเจ้า แต่ไม่ใช่...พอช่วยกันไปช่วยกันมา ก็สนิทกันมาก เลยเกรงใจกันมาก ถึงเวลาเขาชวนไปทอดกฐินทำบุญเ้ก้าวัด....ก็ไปกับเขาซะงั้น เนี่ย...ที่ปัญหามันเกิดขึ้นมันก็เริ่มมาอย่างเงี้ย เกรงใจเพื่อน.....ไม่แยกให้ขาด ว่าอันไหนเอาอย่างได้ แล้วอันไหนที่ไปร่วมกับเขาไม่ได้
ดูผวฉ.2:8-10 “...อีกชาติพันธ์หนึ่งก็เกิดขึ้นตามมา เขาไม่รู้จักพระเจ้าหรือรู้ราชกิจที่พระเจ้าได้กระทำเพื่ออิสราเอล” นี่เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่จะทำให้เรามองภาพได้ชัดเจนขึ้น เพราะเราได้รู้ว่าหลังจากสมัยของโยชูวาแล้ว อิสราเอลที่เป็นคนรุ่นใหม่ในสมัยผู้วินิจฉัยนั้นไม่ได้ติดสนิทกับพระเจ้า แต่ละเผ่าก็คิดถึงแต่เรื่องของตัวเอง แล้วก็เริ่มคล้อยตามความเชื่อของชาวคานาอัน
ดู ผวฉ2:11-13/14-15 คำว่า “อิสราเอลกระทำสิ่งที่ชั่วในสายพระเนตรพระเจ้า” นั้นเป็นสำนวนที่หมายถึงการที่อิสราเอลละทิ้งพระเจ้าไปกราบไหว้พระบาอัลหรือพระอื่น (ให้เด็กๆเข้าใจไว้เลย) ทำให้พระเจ้าลงโทษพวกเขาด้วยการให้ชนชาติต่างๆนั้นมารุกรานอิสราเอล
ก่อนที่จะเรียนหนังสือโยชูวา น้าตุ๊กสอนเคยเรื่องราวเกี่ยวกับดินแดนคานาอันรวมถึงพระต่างๆที่พวกเขากราบไหว้ไปแล้ว อย่างพระบาอัลก็เป็นพระที่ชาวคานาอันเชื่อว่ามีฤทธิ์สามารถทำให้ทุกสิ่งที่มีชีวิตนั้นเกิดผลหรือมีความอุดมสมบูรณ์ และในที่ๆพวกเขาประกอบพิธีกรรมก็จะมีชายหญิงอยู่ประจำสำหรับร่วมประเวณีในพิธีกรรมทางศาสนาด้วย (เพราะเชื่อว่าจะทำให้ผลผลิตอุดมสมบูรณ์)
เพราะฉะนั้น เมื่ออิสราเอลหลงไปกระทำตาม ก็เท่ากับว่า พวกเขาล่วงประเวณีทั้งทางฝ่ายเนื้อหนังและฝ่ายวิญญาณ ซึ่งเป็นการละเมิดพระบัญญัติของพระเจ้าข้อที่สำคัญที่สุดก็ว่าได้
ย้อนไปดูผวฉ.2:1-3 “..เขาจะเป็นหอกข้างแคร่ และพระของเขาจะเป็นบ่วงดักเจ้า”
จริงๆแล้วการที่พระเจ้ายังปล่อยให้มีคนคานาอันเหลืออยู่เนี่ย เหตุผลหนึ่งก็เพื่อจะเป็นประโยชน์แก่คนอิสราเอล ทั้งในเรื่องการดูแลทรัพยากรให้ดำรงอยู่ (ทั้งต้นไม้ ต้นข้าวที่ออกดอกออกผลหล่อเลี้ยงชีวิตคน) เพราะถ้าไม่มีชาวถิ่นเดิมที่เป็นงานเหลืออยู่เลย อิสราเอลคงจะลำบากเพราะยังดูแลผลผลิตไม่เป็น อย่าลืมว่าอิสราเอลเคยชินกับการเร่ร่อนอยู่ในถิ่นทุรกันดารหลายสิบปี เพราะฉะนั้น การเลี้ยงสัตว์หรือการปลูกพืชต่างๆ ก็จะเป็นอีกแบบหนึ่งซึ่งไม่เป็นหลักเป็นฐานเหมือนกับตอนที่เข้ามาอยู่ในคานาอัน หรือแม้แต่..การระวังสัตว์ร้ายที่อยู่ตามป่าตามเขา ก็ต้องเรียนรู้ทักษะการระแวดระวังจากคนพื้นที่ เพราะฉะนั้น การมีคนถิ่นเดิมอยู่ด้วย จริงๆแล้ว...ก็เป็นเรื่องจำเป็น
และในทางตรงกันข้าม ถ้าเมื่อไหร่ที่อิสราเอลละทิ้งพระเจ้าหรือละเมิดพันธสัญญา พระเจ้าจะทรงบันดาลให้ชาวเมืองที่เป็นประโยชน์เหล่านั้น หันมาเป็นศัตรูทำร้ายอิสราเอล แล้วนี่ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราได้ข้อคิดและเรียนรู้จากเรื่องนี้ “ว่าพระเจ้าทำได้ทุกอย่าง” ทั้งเปลี่ยนสิ่งร้ายกลายเป็นดี หรือเปลี่ยนสิ่งดีๆให้ร้ายสุดๆ พระองค์ก็ทำได้ถ้าเราไม่เชื่อฟัง
ดูผวฉ.2:16-18 “พระเจ้าทรงให้เกิดผู้วินิจฉัย...”
ผู้วินิจฉัย คือใคร
ผู้วินิจฉัย ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า judge ที่แปลว่า ผู้พิพากษา ตัดสินหรือภาษากฎหมายก็เรียกว่า “ตุลาการ” แต่ในพระคำภีร์ของเรา ผู้วินิจฉัย คือ บุคคลที่พระเจ้าทรงเรียกมาให้เป็นผู้ปลดปล่อยอิสราเอลให้พ้นจากอำนาจของศัตรูในสถานการณ์ต่างๆ
ดูผวฉ.2:19-20/21-23 พระคำช่วงนี้ คือการบอกเล่าถึงวงจรการดำเนินชีวิตของอิสราเอล ที่หลงผิดละทิ้งพระเจ้า พอทนทุกข์หนักเข้าเพราะถูกลงโทษก็หันหน้ากลับมาร้องขอพระกรุณาจากพระองค์ แต่พอพระเจ้าส่งผู้วินิจฉัยมาปลดปล่อยให้เป็นอิสระ ได้อยู่ดีมีสุขก็กลับหลงลืม หันหลังให้พระองค์อีก พระเจ้าก็ลงโทษอีก พอเกิดความทุกข์ยากอิสราเอลก็สำนึกผิดหันกลับมาหาพระองค์ใหม่พระองค์ก็ทรงประทานผู้วินิจฉัยมาปลดปล่อย วนเวียนอยู่อย่างงี้ตั้งแต่ต้นจนจบ รวมแล้วจำนวนผู้วินิจฉัยที่พระเจ้าปประทานให้ทั้งหมดมี ๑๒ คน

วันอังคารที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2552

เฉลยบททดสอบหนังสือ โยชูวา

เฉลยบททดสอบหนังสือ โยชูวา
๑.ตอบ ข.เพราะติดตามพระเจ้าอย่างแท้จริง
ข้อก.บอกว่า เพราะกล้าหาญและเข้มแข็ง มีหลายคนที่เผลอไปตอบข้อนี้ เพราะในพระธรรม ยชว.จะกล่าวถึงถ้อยคำนี้อยู่หลายครั้ง เพราะพระเจ้าทรงหนุนใจยชว.และคนอิสราเอลอยู่เสมอ ว่าจงกล้าหาญและเข้มแข็ง แต่การเป็นผู้นำของชนชาติอิสราเอลนั้น ความสัตย์ซื่อและเชื่อฟังพระเจ้าสำคัญที่สุด เพราะฉะนั้น ต่อให้คุณเป็นผู้เก่งกล้าสามารถมาจากไหนก็ไม่ใช่คำตอบอยู่ดี เพราะคนที่จะเป็นผู้นำของอิสราเอลหรือเป็นผู้นำคริสตจักรนั้น (สองอย่างนี้เป็นเรื่องเดียวกัน) สำคัญที่สุดคือจะต้องเป็นผู้ที่เชื่อฟังและสัตย์ซื่อในการติดตามพระเจ้าอย่างแท้จริง เท่านั้น ส่วนคุณสมบัติข้ออื่นก็เป็นรองไป
ข้อค.บอกว่าเพราะโยชูวาเป็นผู้ที่ใกล้ชิดกับโมเสส (อันนี้เกี่ยวมั๊ย) ไม่เกี่ยวเลย เพราะการเป็นผู้นำของอิสราเอลหรือผู้นำคริสตจักรในยุคพระคุณนั้น มันไม่เหมือนกับเรื่องของธุรกิจหรือการงานฝ่ายโลกที่ผู้บริหารมักจะเลือกญาติสนิทหรือคนใกล้ชิดของตัวเอง เป็นผู้สืบทอดหรือเป็นผู้ดูแลองค์กรต่อจากเขา เพราะฉะนั้นการจะเป็นผู้นำของอิสราเอลหรือการเลือกผู้รับใช้ของคริสตจักร มันไม่ใช่ว่าเพราะคนนั้นเขาสนิทกันหรือ คนนี้เขาสนิทกับศบ. เขาถึงได้เป็นผู้นำต่อจากคนเก่า ไม่ใช่ หลักการอันนี้ใช้ไม่ได้ ข้อนี้ก็เลยไม่ใช่คำตอบเช่นเดียวกัน
๒.ตอบ ค.ชัยชนะในแผ่นดินคานาอันขึ้นอยู่กับความเชื่อฟังและไว้วางใจในพระเจ้า
คานาอัน คือ แผ่นดินที่พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะประทานให้อิสราเอล ซึ่งเป็นหมายสำคัญถึงแผ่นดินที่พระเจ้าจะทรงประทานให้พวกเราเช่นกัน คือ อาณาจักรสวรรค์ เพราะฉะนั้น ชัยชนะหรือการที่จะได้เข้าร่วมครอบครอง แผ่นดินที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้นั้น มันขึ้นอยู่กับความเชื่อ และวางใจในพระเจ้าอย่างเดียว สำหรับพวกเราก็คือ ต้องเชื่อพระเยซูเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับความกล้าหาญเข้มแข็ง ไม่เกี่ยวกับความขยัน อดทน หรือแม้แต่การทำความดี (ดูโรม4:5-6) เพราะถ้าไม่เชื่อพระเยซู ต่อให้คุณพยายามทำความดีมากแค่ไหน ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะได้อยู่ในแผ่นดินสวรรค์
๓.ตอบ ค.เพราะพระเจ้าต้องการให้จิตวิญญาณของเราเติบโต
ข้อก.บอกว่า เพราะพระเจ้าไม่ต้องการให้เราสุขสบายจนเกินไป เด็กๆว่าพระเจ้าอยากให้เราสุขสบายมั๊ย แท้จริงแล้ว...พระเจ้าทรงต้องการให้เรามีความสุขที่สุดเลย ที่พระองค์ทรงทำทุกสิ่งทุกอย่าง และทุกแผนการของพระองค์ที่บางครั้งมนุษย์ไม่เข้าใจ ทั้งหลายทั้งสิ้นนั้นก็เพียงเพราะว่า พระองค์ทรงปรารถนาที่จะให้ลูกๆของพระองค์ได้อยู่อย่างสุขสบาย (ที่ไหน) ในแผ่นดินที่เป็นของจริงและจะดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์(ใช่โลกใบนี้มั๊ย) ไม่ใช่แต่คืออาณาจักรสวรรค์ เพราะฉะนั้น เราอย่าไปคิดว่า พระเจ้าคงไม่อยากให้เราสุขสบายมั้งเพราะทุกวันนี้เราอยู่อย่างลำบากเหลือเกิน หรือคิดว่าเป็นคริสเตียนแล้วต้องลำบาก อย่าไปคิดอย่างงั้น เพราะนั่นก็มาจากมาร จำไว้ว่า...ความทุกข์ยากนั้นก็เป็นแค่บทหนึ่งของการฝึกฝน และขัดเกลาเราให้คู่ควรแก่พระสิริของพระเยซูคริสต์ (บ้าง) และพระเจ้าจะไม่ปล่อยให้เราทุกข์ยากเกินกว่าที่เราจะทนได้ ที่สำคัญโลกนี้ก็คือของปลอม เราจะเอาฐานะบนโลกนี้มาเป็นเกณฑ์ตัดสินไม่ได้ แล้วพระเจ้าก็ให้เราอยู่แค่ชั่วคราว ส่วนบ้านของจริงที่เราจะอยู่อย่างถาวร พระเจ้าทรงเตรียมความสุขสบายสุดๆไว้ให้เราพร้อมหมดแล้ว เพราะฉะนั้น อย่ามัวแต่เรียกหาสวรรค์บนดินกับที่ๆเราอยู่แค่ชั่วคราว จะอยู่แบบไหนก็อยู่ไปเถอะ....
ข้อค.บอกว่า เพราะพระเจ้าต้องการให้เราเรียนรู้การเป็นผู้นำ ข้อนี้ก็ไม่เกี่ยวเพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะต้องเป็นผู้นำ พระเจ้าจะทรงมีน้ำพระทัยเรื่องนี้กับเฉพาะบางคนเท่านั้น
๔.ตอบก.เพราะเห็นแก่ความอุดมสมบูรณ์ของดินแดนทางฝั่งตะวันออก ไม่ได้เสียสละอะไรทั้งนั้น เห็นของดีก็รีบคว้าไว้ก่อนเลย แล้วก็ไม่ใช่เพราะเบื่อหน่ายการรบด้วย เพราะ พวกเขายังรักษาสัญญาข้ามไปร่วมรบกับพี่น้องทางฝั่งคานาอันจนได้รับชัยชนะ
๕.ตอบข.เพราะราหับเชื่อในพระเจ้าของอิสราเอล ไม่ได้เห็นแก่สินบน แล้วราหับก็ไม่ได้เป็นชาวอิสราเอลด้วย แต่เธอเป็นชาวเมืองเยรีโค แล้วเรารู้ได้ไงว่าราหับเชื่อพระเจ้า (ที่เราเรียนกันไปแล้ว) ก็รู้ได้จากคำพูดของเธอ ดูยชว.2:11 “เพราะพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน เป็นพระเจ้าของสวรรค์เบื้องบนและแผ่นดินเบื้องล่าง” คำพูดนี้แหละที่แสดงว่าราหับเชื่อพระเจ้า แล้วก็ยอมรับว่าพระเจ้าของอิสราเอลนั้นใหญ่ที่สุด อีกข้อหนึ่งดูยชว.2:12 “ขอท่านสาบานให้ดิฉันในพระนามของพระเจ้า” นี่ก็เป็นอีกคำพูดหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าราหับนั้นเชื่อจริงๆว่าพระเจ้าใหญ่ที่สุด ราหับก็เลยขอให้คนอิสราเอลที่มาสอดแนมนั้นสาบานในพระนามของพระเจ้าว่า จะไม่ทำร้ายเธอและครอบครัว ประมาณว่า..ถ้าสาบานในพระนามของพระเจ้าแล้ว ก็จะไม่มีใครกล้าพลิกลิ้นหรือผิดคำพูดนั่นแหละ
๖.ตอบ ค.ทุกคนมีสิทธิ์ได้รับความรอด อย่างราหับเองก็เคยเป็นหญิงโสเภณี ที่โลกตัดสินว่าต่ำต้อยด้อยค่า แต่พระเจ้าก็ยังทรงเมตตาเลือกให้ราหับเข้ามารับความรอด ราหับจึงมีความเชื่ออย่างอัศจรรย์ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเราจะเป็นใคร....มีอดีตเป็นยังไงหรือแม้แต่เคยผิดพลาดหรือทำบาปมาหนักหนาแค่ไหนก็ตาม ถ้าเชื่อพระเยซูก็มีสิทธิ์ได้รับความรอดด้วยกันทั้งนั้น สิ่งนี้ถึงได้ถูกเรียกว่า”ข่าวประเสริฐ”
เพราะว่าเป็นข่าวดีจริงๆ มันหาไม่ได้อีกแล้วบนโลกนี้หรือโลกไหน เพราะไม่มีใครหรอกที่จะรักคนบาปได้เหมือนพระเจ้าของเรา ไม่มีอีกแล้ว..อย่างมากก็จะปลอบใจให้ก้มหน้าก้มตารับกรรมกันไปแต่ไม่มีพระไหนหรือนามไหนเลยที่จะบอกว่า เขาช่วยให้เรารอดพ้นจากความบาปได้ “นอกจากพระเยซูคริสต์”
นี่คือ ข่าวประเสริฐที่แท้จริงเพราะ “ทุกคนที่ได้ยิน มีสิทธิ์ได้รับความรอด” ถ้าเชื่อพระเยซู (รอดทางฝ่ายวิญญาณ) ส่วนทางโลกเนี่ยบางครั้งเรายังต้องกินผลที่ทำอยู่ ต่อไปเด็กๆก็จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้มากขึ้น แต่ตอนนี้จำไว้แค่ว่า “วิญญาณของเราได้รอดแน่นอนก็แล้วกัน”
๗.ด้ายสีแดง มีความหมายเหมืนกันกับเลือดแกะวันปัสกา ซึ่งเล็งถึงโลหิตของพระเยซูคริสต์ที่จะมาไถ่ถอนเรา เพราะฉะนั้นก็ต้องตอบว่าถูกทั้งก.และข.
๘.ข้อนี้ตอบผิดกันเยอะพอสมควร เพราะคงจำรายละเอียดกันไม่ได้ แต่ไม่ได้แปลว่าเราไม่เข้าใจ คำตอบที่ถูกคือข้อ ก.การที่น.จอร์แดนแห้งไป เพราะก่อนที่พระเจ้าจะทรงทำอัศจรรย์ในครั้งนี้ พระองค์ได้ตรัสกับโยชูวา ในยชว.3:7 ว่า”วันนี้เราจะเริ่มยกย่องเจ้าให้เป็นใหญ่ในสายตาของบรรดาอิสราเอล” ก็แปลว่าพระเจ้าทรงกระทำให้น.จอร์แดนแห้งไปเพื่อรับรองโยชูวาหรือเพื่อให้ชาวอิสราเอลยอมรับโยชูวาเป็นผู้นำ
ส่วนข้อข.การที่กำแพงเมืองเยรีโคถล่ม เรื่องนี้พระเจ้าทรงกระทำให้สำเร็จ เพราะอิสราเอลนั้นมีความเชื่อฟัง พระเจ้าไม่ได้กระทำเพื่อรับรองโยชูวา
ข้อค.บอกว่าการที่ทูตของพระเจ้ามาปรากฎ อันนี้พระเจ้าทรงกระทำเพื่อตอกย้ำให้โยชูวาตระหนักอยู่เสมอว่า “พระเจ้าทรงเป็นผู้นำทัพของอิสราเอล “ ก็หมายถึงความสำเร็จทั้งหมดนั้นมาจากพระองค์ เพราะฉะนั้นโยชูวาอย่าเผลอคิดว่าตัวเองเป็นคนสำคัญซะเองล่ะ...
๙.ตอบ ก.ความเชื่อวางใจที่เรามีต่อพระเจ้า ไม่ใช่สัญลักษณ์ที่แสดงถึงชัยชนะในแผ่นดินคานาอันแล้วก็ไม่เกี่ยวอะไรกับการรอคอยแผ่นดินคานาอันของคนอิสราเอลด้วย
๑0.ข้อนี้ตอบผิดกันมากที่สุด คำตอบที่ถูกคือค.ถูกทั้งก.และข. แต่เด็กๆ เลือกตอบข้อก.กันซะส่วนมากเพราะน้าตุ๊กเคยยกข้อนี้มาอธิบาย ส่วนอีกข้อคือข.ฟังดูก็เข้าท่า.....สมเหตุสมผลแต่เด็กๆไม่แน่ใจว่าถูกเพราะน้าตุ๊กไม่เคยสอน อันนี้เรียกว่าไม่มั่นใจในตัวเอง
๑๑.ตอบ ข.ความเชื่อฟังพระเจ้าของคนอิสราเอล
ส่วนก.บอกว่า”เพราะ วิธีการเดินและการโห่ร้องของคนอิสราเอล” เกี่ยวมั๊ย ถ้าพระเจ้าไม่ทรงบันดาลให้กำแพงมันพังลง ก็เดินไปเถอะ.....ชาติหน้าก็ไม่มีวันถล่ม (อันนี้พูดเล่นนะ เพราะความจริงแล้วไม่มีชาติหน้าอย่างที่บางคนเข้าใจ มีแต่ชีวิตนิรันดร์ที่น่ากลัวกว่าเยอะ...ถ้าคุณไม่ได้เชื่อพระเยซู) อย่างที่น้าตุ๊กเคยบอกแล้วว่า ประเด็นมันอยู่ที่ความเชื่อฟังของเรา ถึงแม้รูปแบบหรือวิธีการที่พระเจ้าสั่งให้ทำนั้น...บางครั้งอาจจะดูไม่สมเหตุสมผล (ในสายตาของมนุษย์) ก็ขอให้เราเชื่อฟังแล้วก็ทำตาม ถ้าพระเจ้าบอกให้ร้องเพลง......ก็ร้องไป ถ้าสั่งให้เต้นรำ.....ก็เต้นรำ ไม่ต้องไปเรียกหารูปแบบที่โก้หรู ดูสมเหตุสมผลอะไรนักหนา เพราะสิ่งที่พระเจ้าปรารถนา...แท้จริงแล้วคือความเชื่อฟังของเรา
ค.บอกว่า “เพราะสภาพภูมิอากาศและปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ” สิ่งนี้ก็เป็นแค่เครื่องมือของพระเจ้าเท่านั้น ถ้าพระองค์ไม่อนุญาตก็ไม่มีปรากฎการณ์ไหนเกิดขึ้นได้
๑๒.ตอบ ข.เพราะหมายถึงเราไม่วางใจพระเจ้า ไม่เชื่อว่าพระองค์ช่วยเราได้ก็คือไม่เชื่อว่าพระเจ้าใหญ่ที่สุด
ข้อก.บอกว่า”เพราะหมายถึงเราไม่เข้มแข็ง” ความไม่เข้มแข็งเป็นธรรมชาติของมนุษย์อยู่แล้ว แล้วพระเจ้าก็ไม่เคยโกรธหรือตำหนิเราด้วยนะ..ในเวลาที่เราอ่อนแอ แต่พระองค์ทรงเข้าใจและรู้จุดอ่อนของเราแต่ละคนเป็นอย่างดี แต่ฟังอย่างงี้แล้วก็ต้องระวัง...อย่าเอาไปอ้างพร่ำเพรื่อในเวลาที่ตัวเองจะทำบาปหรือเลือกจะทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะเรื่องนี้ก็ค่อนข้างที่จะล่อแหลม แล้วความอ่อนแอ....กับความเหยียดยาว มันก็ใกล้กันมาก บางครั้งอาจจะแยกไม่ออก (หรือไม่ก็.....ไม่อยากจะแยก)
แต่สิ่งที่จะทำให้เราแยกแยะได้ คือการฟ้องผิดในใจ อันนี้ชัดเจน น้าตุ๊กเชื่อว่า”คนที่มีพระเจ้า”จะไม่เหยียดยาวหรือสบายใจอยู่ได้ ในเวลาที่ตัวเองทำบาปหรือทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เราจะไม่อ้างพร่ำเพรื่อว่าเราอ่อนแอ แต่เราจะเติบโตและเข้มแข็งขึ้นทีละน้อย ไม่ใช่ภายในวันเดียว เดือนเดียว
หรือแม้แต่ปีเดียว จะมากขึ้นเรื่อยๆ
ข้อค.บอกว่า”เพราะจะทำให้เราไม่เติบโต” เราไม่เติบโตอยู่แล้ว ตราบใดที่เรายังกลัว (มากๆ) แต่ประเด็นที่เป็นบาป ก็คือเราไม่วางใจพระเจ้า
๑๓.ตอบ ก.เพื่อไม่ให้อิสราเอลหันไปพึ่งพาสิ่งเหล่านี้แทนพระเจ้า น้าตุ๊กเชื่อว่าพระเจ้าทรงทำสิ่งนี้เพื่อเป็นการตัดไฟตั้งแต่ต้นลม พระองค์ทรงรู้ก่อนแล้วว่า “อะไรจะเกิดขึ้น”ถ้าพระองค์อนุญาตให้พวกเขาเก็บของพวกนี้ไว้ เพราะอิสราเอลก็ขึ้นชื่ออยู่แล้ว “เรื่องกบฎ”
เพราะฉะนั้น พวกเราเองก็ดูไว้เป็นตัวอย่าง ถ้าวันนี้พระเจ้าอนุญาตให้มีบ้าน มีรถ มีเงินเก็บในธนาคาร ก็จงขอบคุณ...แต่อย่าไปยึดติด คอยนับ....จดจ่อให้ความสำคัญ หรือเผลอคิดไปว่า...เราต้องรักษามาตรฐานชีวิตของเราให้อยู่ในระดับนั้น....ระดับนี้ แล้วเราก็ต้องมีสิ่งนั้น...สิ่งนี้อย่างครบถ้วน...ขาดไม่ได้ ถ้าขาดมันไปวันไหนเราคงแย่ ระวังความคิดของเราให้ดี.....ถ้าคิดอย่างงี้เมื่อไหร่เดี๋ยวได้แย่สมใจ เพราะพระเจ้าจะเอามันออกไป เหมือนที่ทรงสั่งให้โยชูวาตัดเอ็นน่องม้าและทำลายรถรบทิ้งไป....ให้เหลือแต่ตัวกับหัวใจ เพื่อที่จะได้เห็นกันใสๆว่า ความช่วยเหลือนั้นแท้จริงแล้วมาจากใครหรือมาจากสิ่งใดกันแน่ นี่คือวิถีพื้นๆที่จะสามารถรักษาจิตวิญญาณและความเชื่อของเรา ให้ติดสนิทกับพระองค์ได้เหมือนเดิม ไม่ใช่ไปติดกับบ้านหลังใหญ่ รถหลายคัน หรือเงินหลายล้านในธนาคาร
๑๔.ตอบ ค.เพราะพระเจ้าทรงทำให้จิตใจของชาวคานาอันแข็งกระด้าง เพื่อที่เมืองเหล่านี้จะได้ถูกทำลายจนหมดสิ้น......มีตอบข้อก.หลายคนเหมือนกัน ข้อก.บอกว่า เพราะเมืองต่างๆคิดว่าจะเอาชนะอิสราเอลได้ เพราะอิสราเอลเป็นเพียงชาวเร่ร่อนเล็กๆ ข้อนี้ไม่ใช่คำตอบเพราะ..มาถึงวันนี้แล้ว บรรดาชาติต่างๆนั้นก็ได้เห็นชัยชนะอย่างอัศจรรย์มากมายของอิสราเอล วันนี้เขาไม่ได้มองว่าอิสราเอลเป็นแค่ชาวเร่ร่อนไม่มีน้ำยาอีกต่อไปแล้ว
ข้อข.บอกว่า อิสราเอลตั้งตัวเป็นศัตรูประกาศสงครามกับทุกชนชาติ (เคยมั๊ย) ไม่เคยเลย...เพราะพระเจ้าไม่เคยสอนให้ทำอย่างงี้ ถึงเวลาจะลุย..ก็ลุยเลย ไม่เคยประกาศศักดาข่มขวัญใครทั้งสิ้น
๑๕.ตอบ ข.เพราะคาเลบเชื่อวางใจพระเจ้า ข้ออื่นคงไม่ต้องอธิบายนะ น่าจะเข้าใจกันดี
๑๖.ตอบ ค.ไม่พอใจในส่วนแบ่งแล้วก็ไม่วางใจในพระเจ้าด้วย เพราะเมื่อโยชูวาบอกคนเผ่าเอฟราอิมว่าถ้าถางป่าเข้าไป พวกเขาจะรู้ว่าเขตแดนที่แบ่งให้นั้น...มันใหญ่เหลือเฟือแล้ว แต่คนเอฟราอิมกลับบอกว่า (ยชว.17:16) “แถวนั้นมีคนคานาอันอยู่ แล้วพวกเขาก็มีรถรบที่ทำด้ยเหล็ก” เนี่ยเรียกว่ากลัวจนลืมพระเจ้าไปเลย
๑๗.ตอบ ก.เพราะโยเซฟมีความเชื่อ เชื่อทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่ทันได้อยู่เห็นพระสัญญาของพระเจ้าเป็นจริงขึ้นมา เพราะถ้าไม่เชื่อ ก็คงไม่กำชับลูกหลานไว้ จนอีกหลายร้อยปีต่อมา....กระดูกของโยเซฟก็ได้ถูกเอากลับมาฝังที่คานาอัน อย่างที่เขาตั้งใจ
ส่วนคุณความดีหรือความมีชื่อเสียง ไม่ได้เป็นเหตุผลที่ทำให้กระดูกของโยเซฟถูกนำกลับมาที่คานาอัน
๑๘.ตอบ ค.ความสัตย์ซื่อและเชื่อฟังพระเจ้า
ส่วนความกล้าหาญ เข้มแข็ง หรือความอดทนรอคอย ไม่ใช่วิธีที่อิสราเอลจะได้รับชัยชนะแล้วก็ไม่ใช่วิธีที่คริสเตียนจะได้รับความรอดด้วย ชัยชนะทั้งทางฝ่ายเนื้อหนังและฝ่ายวิญญาณขึ้นอยู่กับความเชื่อเท่านั้น
๑๙.ตอบ ค.ถูกทั้งสองข้อ เพราะการรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ทำให้เราได้รับชัยชนะบน
ไม้กางเขนร่วมกับพระองค์ และสิ่งนี้เองที่จะเป็นเกราะป้องกันและอาวุธของคริสเตียน
๒o.ตอบ ก.ทันทีที่เชื่อพระเยซู ก็จะได้รับบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ แบบ baptize unto life คือ ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในพระกายของพระคริสต์ มีพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตใตใจและได้รับชีวิตนิรันดร์
๒๑.ตอบ ค.ภาวนาใคร่ครวญ ท่องจำ ถ้อยคำพระเจ้า
ส่วนการมาโบสถ์ทุกอาทิตย์ ก็ไม่ใช่ทุกคนที่มา....จะจดจ่อกับถ้อยคำพระเจ้าหรือพระคำภีร์ เพราะฉะนั้น มันตัดสินไม่ได้ว่า ผู้ที่มาโบสถ์อย่างสม่ำเสมอจะรู้จักเอาความจริงมาคาดเอว หรือจะรู้จักหยิบยุทธภัณฑ์ที่พระเจ้าประทานให้ มาใช้ป้องกันตัวด้วยกันทุกคน
๒๒.ตอบ ก.ความชอบธรรม
ส่วนความรอด คือ หมวกเหล็ก และข่าวประเสริฐ เปรียบเสมือน รองเท้า
๒๓.ตอบ ค.ถูกทั้งสองข้อ คือพระเจ้าทรงมีทางออกให้กับทุกปัญหาแน่นอน แต่จะเป็นทางออกตามน้ำพระทัยของพระองค์ เป็นทางที่พระองค์ทรงเห็นชอบ และดีที่สุดสำหรับเรา ซึ่งบางครั้งมันอาจจะ.....ไม่ถูกใจเรา (เช่น พระเจ้าบอกให้ไปซ้าย แต่เราอยากไปขวา...รู้สึกมันน่าสนุกกว่า) แต่ถ้าเรายอมเดินตามทางที่พระเจ้าวางไว้ด้วยความเชื่อ เราจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดเสมอ และสันติสุขจะเกิดขึ้นในใจเราอย่างอัศจรรย์........โดยที่บางครั้งปัญหาก็ยังไม่ได้หายไปไหน แต่เรากลับไม่เดือดร้อนเท่าไหร่ เนี่ย...เรียกว่ามีสันติสุขอย่างแท้จริง
๒๔ตอบ ข.โล่ที่แข็งแรง
๒๕. ตอบค.เข็มขัดและดาบ

บัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์

บัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์
ก่อนที่จะเฉลยบททดสอบของหนังสือโยชูวา น้าตุ๊กจะขอพูดถึงเรื่องการบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ .......ตามที่เราเคยเรียนกันไปแล้วว่า ใครก็ตามที่เชื่อพระเยซูคริสต์ก็จะได้รับบัพติศมาโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ทันที บังเอิญว่าการเข้าค่ายที่หาดตะวันรอนเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาก็ได้มีการเรียนในหัวข้อเดียวกันนี้
น้าตุ๊กไม่ทราบว่าเด็กๆฟังแล้วเข้าใจกันดีหรือเปล่า เพราะว่าการเข้าค่ายที่ผ่านมาเนี้ยมีจุดประสงค์ที่อยากจะให้พวกเราได้รับประสบการณ์ที่ล้ำลึกทางฝ่ายวิญญาณมากขึ้น คณะศบ.ได้อธิบายว่า มีบางคนยังไม่เคยรับบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ เดี๋ยวเด็กๆจะสับสนกับที่น้าตุ๊กเคยสอนไว้ว่า เมื่อเราเชื่อพระเยซูเราจะได้รับบัพติศมาโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ทันที (แล้วทำไมถึงบอกว่าเรายังไม่ได้รับหรือมีบางคนยังไม่ได้รับเพราะผู้ที่ไปเข้าค่ายนั้นส่วนใหญ่ก็ได้รับเชื่อกันแล้ว) เสร็จแล้วก็มีการอธิฐานให้ได้รับกันไปเมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา น้าตุ๊กจะเคลียร์ให้อีกทีละกัน
ถ้าเด็กๆได้ตั้งใจฟังคุณลุงพิชัยเทศนาก็คงจะไม่สับสน เพราะท่านอธิบายไว้ชัดเจนว่า “การบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์” นั้นมีสองอย่าง คือ
baptize unto life คือ การ”เข้าร่วม”ในพระกายของพระคริสต์ ได้มีพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตในใจ อันนี้เราได้รับทันทีที่เชื่อพระเยซู อย่างที่น้าตุ๊กสอนไว้ (เป็นสเต็ปแรก)
baptize unto power คือ การรับ”ฤทธิ์อำนาจ”ในพระวิญญาณบริสุทธิ์ ส่วนนี้เป็นสเต็ปที่สองที่เราต้องอธิฐานทูลขอจากพระเจ้า อันนี้คือ ประสบการณ์ที่เราได้รับกันไปเมื่ออาทิตย์ก่อนที่หาดตะวันรอน
ก็ขอให้เด็กๆเข้าใจตามนี้ อย่าสับสนว่าเอ๊ะ!ตกลงการบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นได้รับตอนไหนกันแน่ ตกลงเชื่อพระเยซูแล้วได้รับทันทีเลยรึเปล่า สรุปคือได้รับทันทีเลยในระดับหนึ่ง คือ baptize unto life คือ ได้เข้าร่วมในพระกายของพระคริสต์ มีพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตในใจและก็ได้มีส่วนในชีวิตนิรันดร์ไปแล้วเรียบร้อย ไม่ต้องห่วง
แต่ถ้าเราไม่ได้รับฤทธิ์อำนาจทางฝ่ายวิญญาณ คือ baptize unto power เราก็จะขาดประสบการณ์ที่จะได้ดำดิ่งลงไปทางฝ่ายวิญญาณ จิตวิญญาณของเราก็จะขาดกำลัง ไม่ชุ่มชื่นและไม่ชื่นชมยินดีเท่าที่ควร